ข่าวสาร RAMP (RAMP)

Inspect (INSP): ก้าวสำคัญสู่การเป็นข่าวกรองทางสังคมบน Web3

คุณเป็นคนที่ชอบตัดสินใจจากข้อมูลใช่ไหม คุณเคยคิดอยากจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มากกว่าที่เห็นในโซเชียลมีเดียมาง่ายๆ เพื่อช่วยในเส้นทางการเทรดคริปโตของคุณหรือเปล่า ลองนึกภาพการมีพลังที่จะทำแบบนั้นได้ในคลิกเดียวดูสิ นั่นแหละคือสิ่งที่ Inspect เป็น Inspect ก่อตั้งขึ้นในปี 2021 โดยเกิดมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ในการยกระดับประสบการณ์ชุมชนคริปโตด้วยข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์ แล้วพวกเขาทำได้อย่างไรกัน อ่านต่อเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบนิเวศ Inspect Inspect (INSP) คืออะไร Inspect มีเป้าหมายที่จะเป็น Layer-2 ชั้นนำสำหรับ X (ก่อนหน้านี้คือ Twitter) โดยนำเสนอเครื่องมือต่างๆ มากมาย หัวใจหลักคือเครื่องมือวิเคราะห์ Web3 ที่มีชื่อเสียง ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ใช้มากกว่า 300,000 ราย รวมถึงผู้ใช้ที่แอคทีฟมากกว่า 50,000 รายต่อสัปดาห์ใน Extension ของเบราว์เซอร์ โดยเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อให้บริการทุกคนที่ใช้งานระบบนิเวศ Web3 ตั้งแต่ NFT ไปจนถึงโทเค็น และขับเคลื่อนโดย INSP อย่างไรก็ตาม ทีมงานก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แต่มักจะคิดล่วงหน้าด้วยการจัดหาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมให้กับชุมชนของตน มาดูภาพรวมโดยย่อของรายการผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่และที่กำลังจะเปิดตัวกัน: Roadmap ของ Inspect (ที่มา: inspect.xyz) X Insights Inspect ใช้ประโยชน์จาก AI และเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านฟีเจอร์ต่างๆ เช่น อันดับอิทธิพล (Influence Rank) และข้อมูลเชิงลึกของชุมชน (Community Insights) อันดับอิทธิพล (Influence Rank) ช่วยให้ผู้ใช้เห็นว่าเหล่าผู้นำ Web3 ที่มีชื่อเสียงติดตามใครบ้างบน Twitter ในขณะที่ข้อมูลเชิงลึกของชุมชน (Community Insights) จะให้รายละเอียด เช่น จำนวนคนที่ผู้ใช้ติดตาม และสถิติการทวีตในแต่ละวัน Listing Protocol ฟังก์ชันนี้ปรับปรุงการลิสต์โทเค็นของโปรเจกต์หรือ NFT บน Inspect นักพัฒนาสามารถเข้าถึงการวิเคราะห์ชุมชนโดยละเอียดและเพิ่มการรับรู้ไปยังฐานผู้ใช้ที่มีจำนวนมากบน X ตลอดจนความคืบหน้าของโปรเจกต์ Inspect Ads แพลตฟอร์มโฆษณานี้อำนวยความสะดวกในการโปรโมทผลิตภัณฑ์หรือบริการแก่ผู้ชมในวงกว้างซึ่งมีจำนวนมากกว่า 500,000 รายในสินทรัพย์มากกว่า 40,000 รายการภายในอุตสาหกรรม Inspect Groups อย่างที่ชื่อบอก นี่คือฟีเจอร์แบบมุ่งเน้นชุมชนที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างผู้ใช้ Inspect ด้วยกัน ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมกลุ่มได้ตามความสนใจ เข้าร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับเทรนด์ตลาด และใช้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆ ในอุตสาหกรรมด้วยการแบ่งปันความรู้และข้อมูลเชิงลึก Inspect Transact สำหรับการ On-Ramp และการเทรด Fiat รายย่อยอย่างรวดเร็วและราบรื่น Inspect ขอเสนอ Inspect Transact ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าถึงสภาพคล่องจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ชื่นชอบและเทรดสินทรัพย์ภายในอุตสาหกรรมได้ โดยไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์ม X Inspect Academy การอ่านบางครั้งอาจเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้นแพลตฟอร์ม Learning-to-Earn นี้จึงนำเสนอประสบการณ์การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยสิ่งจูงใจ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ และติดตามเทรนด์ล่าสุดของอุตสาหกรรมไปพร้อมๆ กับการรับรางวัลได้ Inspect Pro เครื่องมือที่มีฟีเจอร์ระดับพรีเมียมและอนุญาตให้ผู้ใช้เฝ้าติดตามข้อมูล Wallet สำหรับคริปโตบน X เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ลึกซึ้งมากขึ้นจากการวิเคราะห์ทางสังคมด้วย Subscription แบบต้องชำระเงิน Inspect Premium Inspect Premium นั้นออกแบบมาสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ และมีความสามารถในการโพสต์บล็อกและบทความ การปรับแต่งแดชบอร์ด รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับสมาชิกในชุมชนกิจกรรม Inspect (INSP) ทำงานอย่างไร ในช่วงเซสชัน IDO (Initial DEX Offering: การระดมทุนผ่านการเสนอขายครั้งแรกบน DEX) Inspect ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยดึงดูดผู้สมัครได้กว่า 25,000 ราย และเชื่อมโยงสินทรัพย์มูลค่า 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Polygon Ventures เองก็สนับสนุนการเดินทางนี้เช่นกัน นอกจากนี้ยังออกแบบมาเพื่อให้ทั้งมีประโยชน์และมีอิทธิพลต่อผู้ถือ มาดูกันว่าคุณสามารถใช้โทเค็น INSP ทำอะไรได้บ้าง สกุลเงิน INSP เป็นสกุลเงินหลักสำหรับบริการต่างๆ ของ Inspect เช่น Subscription, โฆษณา และค่าธรรมเนียม API ซึ่งช่วยให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดค่าธรรมเนียมการแปลง และลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาให้เหลือน้อยที่สุด โดยหากคุณถือ INSP คุณก็จะสามารถเข้าถึงบริการระดับพรีเมียม โฆษณา มีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มของชุมชน และลิสต์โปรเจกต์ได้ ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Inspect Pro (ขณะนี้อยู่ในการทดสอบ) จะเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะผู้ถือ INSP เร็วๆ นี้ การกำกับดูแล ผู้ถือ INSP มีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดอนาคตของ Inspect ผ่านการโหวตเกี่ยวกับการกำกับดูแลของ DAO (องค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์) การโหวตเหล่านี้สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจที่สำคัญเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม เช่น การอัปเกรดโปรโตคอล เศรษฐศาสตร์ของโทเค็น (Tokenomics) ฯลฯ รางวัล นอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอยแล้ว INSP ยังทำหน้าที่เป็นสิ่งจูงใจผู้ใช้ใหม่ให้มีส่วนร่วมกับระบบนิเวศของ Inspect และให้รางวัลแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในชุมชน Inspect หากคุณ Stake INSP คุณจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ส่วนลดค่าธรรมเนียม การเข้าถึงข้อมูลที่ซ่อนอยู่ โอกาสในการเข้าร่วมไปอยู่ใน Whitelist และอื่นๆ อีกมากมาย INSP พร้อมให้บริการบน Bitget ตอนนี้ Inspect ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มข่าวกรองทางสังคมชั้นนำบน Web3 ได้มาปรากฏตัวใน Bitget แล้ว นี่เป็นโอกาสทองของคุณในการเป็นผู้บุกเบิกในการเข้าควบคุมการโต้ตอบทางดิจิทัลของคุณและเจาะลึกเข้าไปในโลกคริปโตบน X ด้วย INSP ดังนั้นอย่าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป มาดำดิ่งและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังที่กำหนดอนาคตกันเลย! วิธีเทรด INSP บน Bitget ขั้นตอนที่ 1: ไปที่หน้า “การเทรด Spot INSP/USDT หรือ INSP/USDT spot trading” ขั้นตอนที่ 2: ป้อนจำนวนและประเภท Order จากนั้นคลิก “ซื้อ/ขาย หรือ Buy/Sell” สามารถดูวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเทรด Spot บน Bitget ได้ที่ คู่มือฉบับเจาะลึกสู่การเทรด Spot บน Bitget เทรด INSP บน Bitget เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

ใช้ Bitget Wallet ให้เชี่ยวชาญแล้วเริ่มเทรดได้เลย! ประตูสู่การแข่งขันเทรด On-Chain ศึก NewDegen 2023 ของคุณ

การแข่งขันเทรด On-Chain ศึก NewDegen 2023 กำลังเข้มข้น! Bitget Wallet รับบทเจ้าภาพร่วมกับพาร์ทเนอร์โปรเจกต์ สื่อ และเหล่าคนดังผู้มีชื่อเสียงมากมายในวงการคริปโตจัดการแข่งขันเทรด On-Chain ศึก NewDegen 2023 มหกรรม DeFi ระดับโลก ตลอดระยะเวลา 30 วัน ผู้เข้าร่วมสามารถลงทะเบียนได้ที่หน้าโปรโมชัน แล้วเริ่มเทรดได้เลยโดยใช้ Bitget Swap ผู้เข้าร่วมจะมีโอกาสคว้ารางวัลเงินสดก้อนโต 100,000 USDT โดยขึ้นอยู่กับตัวชี้วัดผลการดำเนินงานต่างๆ ทั้งผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI), รายได้สุทธิจากการลงทุน และปริมาณธุรกรรมทั้งหมด ตัวชี้วัดทั้งหมดเหล่านี้จะบันทึกไว้ในสแนปช็อตเมื่อโปรโมชันสิ้นสุดลง ผู้ชนะจะได้รับเหรียญเกียรติยศ SBT อันทรงเกียรติเป็นรางวัลเพิ่มเติมและเป็นเครื่องหมายแห่งความโดดเด่น อย่ารอช้า ลงทะเบียนที่นี่! ในระหว่างการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นนี้ จะมีคู่มือเชิงลึกเช่นนี้ปล่อยออกมาเพื่อช่วยคุณในการคว้าชัย! ในบทความนี้ เราจะอธิบายข้อมูลพื้นฐานตั้งแต่ต้นจนจบเกี่ยวกับวิธีการตั้งค่า Bitget Wallet ของคุณ แล้วเริ่มเทรดได้เลย ดาวน์โหลด Bitget Wallet หากต้องการดาวน์โหลด Bitget Wallet เพียงไปที่เว็บไซต์ผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการ จากนั้นเลือกระบบปฏิบัติการของคุณ (Android/iOS) หรือจะค้นหา “Bitget Wallet” ใน Store อย่างเป็นทางการของระบบที่คุณใช้เพื่อดาวน์โหลดแอปก็ได้เช่นกัน โปรดดูให้รอบคอบและตรวจสอบให้ดีว่าเวอร์ชันที่คุณกำลังจะดาวน์โหลดนั้นเป็นไฟล์ Bitget Wallet ของจริง สำหรับผู้ใช้ Android โปรดคลิกที่นี่ สำหรับผู้ใช้ iOS โปรดคลิกที่นี่ การตั้งค่า Wallet ของคุณ วันนี้สามารถสร้าง Wallet สำหรับคริปโตได้ง่ายกว่าที่เคย เพียงทำตาม 3 ขั้นตอนด้านล่างเพื่อให้ Bitget Wallet ของคุณพร้อมใช้งาน ขั้นตอนที่ 1: เข้าแอป Bitget Wallet ที่เพิ่งดาวน์โหลดมาลง จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้เลือกว่าจะนำเข้า Wallet ที่มีอยู่หรือจะสร้าง Wallet ใหม่ หากเลือกสร้าง Wallet ใหม่ ก็สามารถเลือกต่อได้อีกว่าจะรักษาความปลอดภัยโดยใช้ Mnemonic Phrase แบบ 12 หรือ 24 คำ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการความปลอดภัยแบบใด แม้การเลือกใช้แบบ 24 คำจะมีความปลอดภัยมากกว่า แต่ก็อาจจำได้ยากกว่า ขั้นตอนที่ 2: คลิก “ยืนยัน / Confirm” แล้วรอระบบสร้าง Wallet ให้ ขั้นตอนที่ 3: เลือกเปิดใช้งานการแจ้งเตือนเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของการเทรดจาก Bitget Wallet ของคุณ และตั้งชื่อเล่นให้กับ Wallet ของคุณเพื่อให้จัดการและหาเจอได้ง่าย หรือจะใช้ชื่อโดเมน DID ที่มีอยู่เป็นชื่อเล่น Wallet ของคุณก็ได้เช่นกัน หากมี การเพิ่มโทเค็นและ Mainnet ไปยังแดชบอร์ดหน้าแรกของคุณ เมื่อได้ดาวน์โหลด Bitget Wallet มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการเพิ่มรายการโทเค็นและ Mainnet ไปยังแดชบอร์ดหน้าแรกของคุณ วิธีการนี้จะช่วยให้รับสินทรัพย์และสลับไปมาระหว่าง Mainnet ได้สะดวกขึ้นในระหว่างที่ทำธุรกรรมในแต่ละวัน วิธีเพิ่มโทเค็น: เพียงแตะไอคอน “+” ในหน้าแสดงโทเค็นบนแดชบอร์ดหน้าแรกของคุณ จากนั้นค้นหาโทเค็นที่ต้องการให้นำมาแสดง วิธีเพิ่ม Mainnet: แตะที่ตัวเลือก Mainnet ที่มุมขวาบนของแดชบอร์ดหน้าแรกของคุณ จากนั้นป้อนชื่อ Mainnet ลงในช่องค้นหา การเพิ่มสินทรัพย์เข้าใน Wallet ของคุณ เลือกได้ว่าจะรับโทเค็นเข้า Bitget Wallet หากมีสินทรัพย์อยู่ที่อื่นอยู่แล้ว (เช่น Wallet หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ) หรือเลือกแพลตฟอร์ม “ซื้อด่วน / Quick Buy” ของ Bitget Wallet ก็ได้เพื่อซื้อคริปโตโดยใช้สกุลเงิน Fiat การรับโทเค็น ขั้นตอนที่ 1: แตะที่ “รับ / Receive” ในแดชบอร์ดหน้าแรกของคุณ จากนั้นเลือก Mainnet ที่เป็นแหล่งที่มาของโทเค็นที่คุณจะรับ แล้วจึงเลือกโทเค็นจากรายการดรอปดาวน์ หรือจะป้อนชื่อโทเค็นลงในช่องค้นหาเพื่อเพิ่มก็ได้เช่นกัน ขั้นตอนที่ 2: คัดลอก Wallet Address หรือสแกน QR Code เพื่อโอนโทเค็นจากแพลตฟอร์มอื่นเข้ามายัง Wallet Address ของคุณ ตัวเลือก On-Ramp หากต้องการเพิ่มสินทรัพย์เข้า Bitget Wallet ของคุณผ่านช่องทางการชำระเงิน Fiat ออนไลน์ ไม่มีปัญหา เข้าไปที่หน้าซื้อด่วนของ Bitget Wallet ได้เลย ปัจจุบัน หน้าซื้อด่วนของ Bitget Wallet ให้ผู้ใช้ซื้อโทเค็นได้มากกว่า 50 รายการด้วยสกุลเงิน Fiat เกือบ 50 สกุล นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังได้รวมช่องทางการชำระเงินมาให้ถึง 6 ช่องทางด้วย ไม่ว่าจะเป็น MoonPay, Alchemy Pay, Simplex, FaTPay, Banxa และ Transak เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรม On-Ramp ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ขั้นตอนที่ 1: คลิก “ซื้อ / Buy” ในแดชบอร์ดหน้าแรกของคุณ แล้วเลือก “ซื้อคริปโต / Buy crypto” เพื่อเข้าไปยังหน้าซื้อด่วนของ Bitget Wallet ขั้นตอนที่ 2: ดำเนินการตามข้อความที่ปรากฏ ซึ่งจะแสดงหนึ่งในผู้ให้บริการชำระเงินที่ปลอดภัยของเรา แล้วทำตามวิธีการที่ขึ้นบนหน้าจอเพื่อดำเนินการซื้อแบบ On-Ramp ให้เสร็จสิ้น นอกจากนี้ Bitget Wallet ยังให้คุณเข้าถึงบริการซื้อคริปโตผ่าน P2P ของ Bitget ได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย สามารถเข้าถึงบริการได้โดยทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้: ขั้นตอนที่ 1: แตะที่ไอคอน “+” ในแดชบอร์ดหน้าแรกของคุณ แล้วเลือก “การเทรด P2P / P2P trading” เพื่อเข้าสู่พอร์ทัลการเทรด P2P ของ Bitget ขั้นตอนที่ 2: เลือกผู้ให้บริการ P2P ที่คุณต้องการ จากนั้นดำเนินการตามวิธีการที่ขึ้นบนหน้าจอเพื่อทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น *โปรดทราบว่าตัวเลือก On-Ramp อาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศ/ภูมิภาค Swap แล้วชิงรางวัลใหญ่กับ Bitget! หลังจากที่ได้สินทรัพย์เข้ามาใน Wallet อย่างปลอดภัย ก็ถึงเวลาเริ่มเทรดแล้ว! ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหนใช่ไหม ไม่ต้องกังวล ในส่วนนี้ เราจะให้ข้อมูลวิธีการเข้าไปดูรายชื่อโทเค็นที่กำลังมาแรงบน Bitget Wallet ซึ่งสามารถดูได้อย่างง่ายดาย รวมถึงข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินการ Swap และเน้นให้เห็นตัวอย่างฟีเจอร์หลักของ Bitget Swap ที่คุณสามารถเข้าไปใช้งานให้เป็นประโยชน์ได้ในการแข่งขันเทรดครั้งนี้! ค้นหาโทเค็นที่กำลังมาแรง หากคุณยังไม่มีแผนการเทรดที่ใช้อยู่หรือยังไม่มีโทเค็นที่อยากจะเริ่มเทรด ก็เพียงไปที่หน้าอินเทอร์เฟซการ Swap ของ Bitget Wallet เพื่อสำรวจโทเค็นที่คัดสรรมามากกว่า 255,400 โทเค็น โดยในการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในการเทรดนี้ Bitget Wallet ก็มีหลากหลายโทเค็นที่จะตอบโจทย์สิ่งที่คุณกำลังตามหาได้อย่างตรงจุด หากต้องการตามล่าโทเค็นที่กำลังมาแรงซึ่งได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบันในหมู่เพื่อนนักเทรดด้วยกัน คลิกที่แท็บ “ยอดนิยม / HOT” ได้เลย หรือหากคุณให้ความสนใจเป็นพิเศษกับโปรเจกต์เกิดใหม่ที่มีแววรุ่ง แตะที่แท็บ “ใหม่ / New” ได้เลย เพื่อดูรายชื่อที่ครอบคลุมของโปรเจกต์ล่าสุดและมีแนวโน้มสดใสที่สุดซึ่งทีมงาน Bitget Wallet คัดสรรมาเป็นพิเศษสำหรับผู้ใช้ของเรา รายชื่อโทเค็นที่เป็นประโยชน์ที่คุณอาจเลือกเรียกดูได้อีกด้วยเช่นกันคือโทเค็นที่อยู่ใน Mainnet ต่างๆ เช่น โทเค็นจาก Base และ Arbitrum ไปจนถึง Meme Token, โทเค็น GameFi และอีกเพียบ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทเค็นใดโทเค็นหนึ่ง แตะชื่อเข้าไปดูได้เลย แล้วเพลิดเพลินไปกับหน้าจอการเทรดที่ครอบคลุมซึ่งแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น กราฟแท่งเทียนแบบไดนามิก ประวัติธุรกรรม ข้อมูลโทเค็น (ซึ่งรวมไปถึงอุปทานทั้งหมด ปริมาณการเทรด 24 ชั่วโมง และอื่นๆ) และกระแส Liquidity Pool นำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกการเทรดที่ดีที่สุด กระโดดเข้าร่วมเทรนด์ล่าสุดให้เร็วที่สุด และดำเนินการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพเลย ดำเนินการ Swap โดยใช้ Bitget Swap Bitget Swap ให้คุณเทรดได้ง่ายกว่าที่เคย เทรดได้ใน 3 ขั้นตอนง่ายๆ!ขั้นตอนที่ 1: คลิก “Swap” ที่ด้านล่างของแดชบอร์ดหน้าแรกของคุณ ขั้นตอนที่ 2: ค้นหาโทเค็นที่ต้องการจะ Swap ในช่องค้นหา หรือเรียกดูรายชื่อโทเค็นที่ครอบคลุมของเรา ขั้นตอนที่ 3: เลือก “ซื้อ / Buy” แล้วป้อนจำนวนที่ต้องการซื้อ จากนั้นคลิก “ยืนยัน / Confirm” ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบ Swap Order ของคุณ แล้วแตะ “ยืนยัน / Confirm” อีกครั้งเพื่อทำธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์ Slippage อัตโนมัติ ที่ Bitget Wallet เราเข้าใจดีว่าบางครั้งการเทรดก็อาจเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นโทเค็นที่มี Spread ในสภาพคล่องต่ำและ/หรือมีภาษีธุรกรรม ซึ่งอย่างหลังเป็นกลไกที่โปรเจกต์ใหม่ๆ มักกำหนดไว้เพื่อเป็นการนำรายได้กลับคืนสู่โปรเจกต์ รวมถึงป้องกันการทำ Swing Trading มากเกินไปซึ่งอาจมี Price Impact ต่อโทเค็นของโปรเจกต์ได้เป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น จึงมีการตั้ง Slippage ไว้ในอัตราที่สูงพอที่จะชำระภาษีได้และครอบคลุม Price Impact ที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การคำนวณจริงเพื่อตั้ง Slippage ที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักเทรดส่วนใหญ่ จึงเป็นที่มาว่าทำไมฟังก์ชัน Slippage อัตโนมัติของ Bitget Swap จะทำการตั้งให้กับคุณเอง Bitget Swap จะตรวจจับโทเค็นที่มีอัตราภาษีจากการซื้อ/ขายสูงโดยอัตโนมัติ แล้วปรับ Slippage ของคุณให้สอดคล้อง เพื่อให้แน่ใจได้ยิ่งขึ้นว่าธุรกรรมจะดำเนินการได้สำเร็จในราคาที่เหมาะสมที่สุด หลังจากคลิก “ยืนยัน / Confirm” ในธุรกรรม Swap ของคุณแล้ว ระบบจะแจ้งให้คุณทราบถึงภาษีจากการขายโทเค็น หากมี นอกจากนี้ ระบบจะแจ้งให้ทราบด้วยเช่นกันถึงสถานะของ Slippage และแจ้งว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหรือไม่ เพียงคลิก “ดำเนินการต่อ / Continue” แล้ว Bitget Swap ก็จะปรับ Slippage ของคุณให้โดยอัตโนมัติ ฟีเจอร์หลักนี้ช่วยให้ผู้ใช้ของเราดำเนินการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการคำนวณ Slippage ที่เหมาะสมที่จะทำให้ธุรกรรมดำเนินการได้สำเร็จเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทรดโทเค็นที่มีภาษีจากการซื้อ/ขาย ค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่ำ Bitget Swap ยังมีค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต่ำกว่าแพลตฟอร์ม Swap อื่นๆ บนมือถืออีกด้วย สามารถดูตัวอย่างชัดๆ ได้ที่ด้านล่างจากการเปรียบเทียบระหว่าง Bitget Swap (ซ้าย) กับ MetaMask (ขวา) เมื่อซื้อโทเค็น $PEPE มูลค่า 0.01 ETH ค่าธรรมเนียมธุรกรรมบน Bitget Swap จะกำหนดไว้ที่ 0.3% แต่บน MetaMask จะอยู่ที่ 0.875% ซึ่งสูงกว่าของ Bitget Swap เกือบ 3 เท่า Bitget Wallet (ซ้าย), MetaMask (ขวา) ทั้งฟังก์ชัน Slippage อัตโนมัติของ Bitget Swap และความสามารถเฉพาะตัวในการทำหน้าที่เป็นช่องทางที่ถูกกว่าสำหรับการดำเนินการ Swap เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลือกอื่นๆ ในตลาด ทำให้เป็นแพลตฟอร์มที่ลงตัวกับการเทรดด้วยความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพ แม้ว่าผู้ใช้จะเป็นนักเทรดมือใหม่ในแวดวง Web3 ก็ตาม ตลาด NFT บน Bitget Wallet หาก NFT เป็นสิ่งที่คุณสนใจมากกว่า ก็รับรองได้ว่าจะต้องตื่นเต้นที่ได้รู้ว่า Bitget Wallet มีตลาด NFT เป็นของตัวเอง ซึ่งรองรับการเทรด NFT บนหลากหลาย Chain ไม่ว่าจะเป็น Ethereum, BNB Chain, Polygon, Klaytn, Arbitrum, Optimism, Heco ตลอดจน Ethereum Classic ในฐานะ NFT Aggregator ชั้นนำ ตลาด NFT ของ Bitget ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลิสต์ NFT ได้แบบไม่มีข้อจำกัดจากแพลตฟอร์มบุคคลที่สาม ผู้ใช้จึงพบกับตัวเลือกได้หลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาด NFT ของ Bitget ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านขีดความสามารถในการซื้อ NFT ด้วยคริปโทเคอร์เรนซีสกุลใดก็ได้ ซึ่งช่วยยกระดับการเข้าถึงและประสบการณ์การใช้งานโดยรวมได้ยิ่งขึ้น ตลาด NFT ของ Bitget พัฒนามาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ด้าน NFT โดยรวมที่คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยนำเสนอการจัดการและธุรกรรม NFT แบบ Multi-Chain, การซื้อ NFT ที่ราบรื่นไม่มีสะดุด, ขีดความสามารถในการซื้อจำนวนมาก และแม้แต่บริการ Mint ฟรีด้วย จึงทำให้เป็นตัวเลือกแรกเมื่อนึกถึงตลาด NFT หากต้องการเข้าถึงตลาด NFT บน Bitget Wallet เพียงแตะ “NFT” ที่ด้านล่างของแดชบอร์ดหน้าแรก จากนั้นป้อนชื่อซีรีส์ NFT ที่ต้องการค้นหาลงในช่องค้นหา หรือจะเรียกดู NFT ที่แนะนำก็ได้เช่นกัน แล้วใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ในตลาด NFT ของ Bitget โดยใช้แถบด้านข้าง ไม่ว่าจะเป็นการดูพอร์ต NFT, การขาย NFT หรือการ Mint NFT แบบฟรีๆ เบราว์เซอร์ DApp ของ Bitget Wallet หากจะพักจากการเทรดบ้าง ลองไปสำรวจเบราว์เซอร์ DApp ของ Bitget Wallet ได้เลย Bitget Wallet มีเบราว์เซอร์ DApp ในตัวซึ่งมีมากกว่า 20,000 DApp โดยครอบคลุมเซกเตอร์ต่างๆ มากมาย ทั้ง DeFi, GameFi, NFT, Bridge, แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน, การขุด, เครื่องมือ, โซเชียล และการกู้ยืม หากต้องการเข้าถึงเบราว์เซอร์ DApp บน Bitget Wallet เพียงแตะ “DApp” ที่ด้านล่างของแดชบอร์ดหน้าแรก จากนั้นป้อนชื่อ DApp ที่ต้องการค้นหาลงในช่องค้นหา ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหนใช่ไหม ดูอีกจุดเด่นของเราได้เลยใน “การค้นหายอดนิยม / Hot Searches” ซึ่งแสดง DApp ล่าสุดและกำลังมาแรงที่สุดที่คุณเข้าไปลองใช้งานได้! สรุปปิดท้าย ส่วนนี้มาถึงการสรุปข้อมูลคู่มือฉบับสมบูรณ์ครบวงจรของเราเกี่ยวกับวิธีการเริ่มต้นเส้นทางการเทรดของคุณด้วย Bitget Swap! อย่ารอช้า ไปเร่งเครื่อง เตรียมพร้อม และคว้าชัยชนะในการแข่งขันเทรด On-Chain ศึก NewDegen 2023 กันเลย! เราขอให้ผู้เข้าร่วมทุกคนโชคดี และจำไว้ว่าโชคชะตาจะเข้าข้างผู้กล้าเสมอ เทรดเร็วทันใจไปกับสินทรัพย์ชั้นยอด Bitget Wallet - Web3 Wallet ของคุณเพื่อการเทรดแห่งโลกอนาคต ติดตาม Bitget Wallet เพื่อรับทราบข่าวสารเกี่ยวกับโปรโมชันล่าสุดของเรา และให้ Bitget Wallet เป็นสุดยอด Gateway สู่โลกแห่ง Web3 สำหรับคุณ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: เว็บไซต์ | Twitter | Telegram | LinkedIn | Discord สำหรับการสอบถามด้านสื่อประชาสัมพันธ์ โปรดติดต่อ: media.web3@bitget.com สำหรับการสอบถามด้านธุรกิจ โปรดติดต่อ: business.web3@bitget.com

คู่มือการเลือก: วิธีเลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต P2P ที่ดีที่สุด

ในบทความนี้ เราจะสอนให้คุณได้เข้าใจกระบวนการเลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี Peer-to-Peer (P2P) ที่ดีที่สุด และแนะนำให้รู้จักกับแพลตฟอร์ม Bitget P2P ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกความต้องการด้านการเทรดของคุณ เมื่อคริปโทเคอร์เรนซียังคงได้รับความนิยมมากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก ความต้องการแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกให้การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เหตุนี้เองจึงได้นำไปสู่การถือกำเนิดของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีมากมาย ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P มีความโดดเด่นเหนือประเภทอื่นๆ ด้วยลักษณะการกระจายศูนย์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำธุรกรรมโดยตรงระหว่างผู้ใช้ได้ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต P2P คืออะไรและทำงานอย่างไร แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต P2P ช่วยให้ผู้ใช้เทรดคริปโทเคอร์เรนซีระหว่างกันได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางบุคคลที่สาม โดยแพลตฟอร์ม P2P นี้จะให้บริการพื้นที่สำหรับให้ผู้ใช้ทำการโพสต์ Order ซื้อและขาย และดำเนินการธุรกรรมได้โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบดั้งเดิมที่ประมวลผลธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์ม ขั้นตอนการทำงานทั่วไปสำหรับผู้ใช้ มีดังนี้ - สร้างบัญชี: ผู้ใช้ทำการสมัครบัญชีกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P - ค้นหาคู่ที่ตรงความต้องการ: คุณกำลังมองหาผู้ที่ต้องการขายคริปโตในราคาที่คุณต้องการ หรืออาจมีคนอื่นมาพบข้อเสนอที่จะซื้อของคุณ - ล็อกสินทรัพย์: แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนจะทำการถือคริปโตของผู้ขายไว้ผ่านระบบเอสโครว์ - ทำการชำระเงิน: คุณชำระเงินให้ผู้ขายโดยตรงผ่านวิธีการชำระเงินที่คุณทั้งสองตกลงกัน - รับคริปโต: เมื่อผู้ขายยืนยันว่าได้รับการชำระเงินของคุณเรียบร้อยแล้ว แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนจะปล่อยคริปโตดังกล่าวให้กับคุณ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต P2P ที่บทความ “แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี P2P คืออะไร” คู่มือการเลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต P2P ที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนมือฉมัง ประเมินมาตรการด้านความปลอดภัย ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในวงการคริปโต ขอแนะนำให้คุณประเมินฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่มีให้บริการบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P โดยฟีเจอร์เหล่านั้นอาจรวมถึงการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (Two-Factor Authentication: 2FA), วิธีการเข้ารหัส, Cold Storage สำหรับสินทรัพย์ และบริการเอสโครว์ ทั้งนี้ แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือควรมีประวัติการจัดการด้านการละเมิดความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ วิเคราะห์อินเทอร์เฟซการใช้งาน (UI) และประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ (UX) อินเทอร์เฟซการใช้งานของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P ควรเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และเป็นมิตรต่อผู้ใช้ แม้แต่มือใหม่ก็ควรรู้สึกว่าใช้งานได้ง่าย ในขณะที่นักเทรดผู้มีประสบการณ์ก็ควรที่จะเข้าถึงเครื่องมือขั้นสูงและกราฟต่างๆ ได้อย่างไร้ปัญหา นอกจากนี้ คุณควรตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยว่าแพลตฟอร์มนั้นๆ มีแอปมือถือสำหรับทำการเทรดได้ทุกที่ทุกเวลาหรือไม่ ประเมินสภาพคล่อง สภาพคล่องเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดว่า คุณจะสามารถเข้าหรือออกจาก Position ได้รวดเร็วแค่ไหน การที่มีสภาพคล่องสูงหมายความว่า มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากซึ่งมักจะส่งผลให้ราคามีการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งนี้ อย่าลืมตรวจสอบปริมาณการเทรดและจำนวนนักเทรดที่แอคทีฟบนแพลตฟอร์มด้วยเช่นกัน ตรวจสอบคริปโทเคอร์เรนซีที่รองรับ การทราบว่าแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนรองรับคริปโทเคอร์เรนซีใดบ้างนั้นเป็นสิ่งสำคัญ โดยหลักการประเมินจะขึ้นอยู่กับความสนใจในการเทรดของคุณ เพราะในขณะที่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P บางแห่งมีความเชี่ยวชาญในเหรียญยอดนิยม เช่น Bitcoin และ Ethereum แต่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนอื่นๆ ก็อาจมีตัวเลือก Altcoin ที่หลากหลายมากกว่าได้ พิจารณาโครงสร้างค่าธรรมเนียม แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P สร้างรายได้จากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเทรด ซึ่งค่าธรรมเนียมเหล่านี้อาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้นโปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณทราบโครงสร้างค่าธรรมเนียม รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ซ่อนอยู่ และนำไปเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนอื่นๆ พิจารณาข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P บางแห่งอาจไม่ดำเนินการในบางประเทศหรือภูมิภาคเนื่องจากข้อจำกัดด้านการกำกับดูแล โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่า แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่คุณกำลังพิจารณาอยู่นั้นพร้อมให้บริการในพื้นที่ของคุณและปฏิบัติตามข้อบังคับในท้องถิ่นอย่างถูกต้อง ฝ่ายบริการลูกค้า ระบบบริการลูกค้าที่เชื่อถือได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่างคริปโต ขอแนะนำให้ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P มีช่องทางสนับสนุนหลายช่องทาง (เช่น อีเมล, แชท และเบอร์โทรติดต่อ) พร้อมทั้งอ่านรีวิวเพื่อประเมินความเร็วในการให้ความช่วยเหลือและประสิทธิภาพของฝ่ายบริการลูกค้าประจำแพลตฟอร์มนั้นๆ ชื่อเสียงและรีวิวจากผู้ใช้ ศึกษาชื่อเสียงหรือความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P โดยอ่านรีวิวจากผู้ใช้และเข้าร่วมในฟอรัมออนไลน์ ถึงแม้ว่ารีวิวเชิงลบอาจจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่รูปแบบของปัญหาหรือการร้องเรียนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขควรถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ควรพิจารณา ความยืดหยุ่นในวิธีการชำระเงิน พิจารณาวิธีการชำระเงินหลากหลายที่แพลตฟอร์มรองรับ เช่น การโอนผ่านธนาคาร, ชำระผ่านบัตรเครดิต/เดบิต หรือแม้แต่คริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ เพราะยังมีแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P บางแห่งอนุญาตให้ใช้วิธีการชำระเงินที่แปลกใหม่ เช่น บัตรของขวัญ อยู่ด้วย แพลตฟอร์ม Bitget P2P: ส่งเสริมการเดินทางในสายคริปโตของคุณด้วยฟีเจอร์ P2P ที่โดดเด่นเหนือกว่าใคร ในบรรดาตัวเลือกที่มีอยู่หลากหลาย แพลตฟอร์ม Bitget P2P โดดเด่นกว่าใครด้วยฟีเจอร์สุดพิเศษมากมาย ไม่มีค่าธรรมเนียมการเทรด: ผู้ใช้ Bitget สามารถใช้ประโยชน์จากโปรแกรมค่าธรรมเนียมเป็น 0 ของเราในบริการ On-Ramp และ Off-Ramp โดยใช้สกุลเงิน EUR และ GBP, การเทรด P2P และการเทรด Spot กล่าวได้ว่าในวงการคริปโตนั้น Bitget เป็นหนึ่งในบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่เสนอโปรแกรมฟรีค่าธรรมเนียมเช่นนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งแล้ว Bitget ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งด้วยแพลตฟอร์มสำหรับการเทรดคริปโตที่ใช้งานง่าย ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายมากกว่า อีกทั้งยังประหยัดต้นทุน และมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกด้วย กำลังมองหาแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มศักยภาพการเทรดคริปโตของคุณอยู่ใช่ไหม ดูได้ที่นี่เลยว่าเพราะเหตุใด Bitget จึงเป็นตัวเลือกชั้นยอดเพื่อความสำเร็จในการเทรดของคุณ มาร์เก็ตเพลสระดับโลกพร้อมวิธีการชำระเงินหลากหลาย: Bitget P2P ให้อิสระแก่ผู้ใช้ในการเลือกวิธีการชำระเงินได้ตามที่ตนต้องการอย่างง่ายดาย โดยเรารองรับทั้งการโอนผ่านธนาคาร, PayPal, WebMoney, Wallet ดิจิทัลหลากหลายเจ้า และระบบการชำระเงินออนไลน์มากมาย ธุรกรรมที่ปลอดภัย: เมื่อผู้ซื้อวาง Order เรียบร้อยแล้ว สินทรัพย์ของผู้ขายจะถูกล็อกโดยแพลตฟอร์ม ในกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้น ฝ่ายบริการลูกค้าของ Bitget จะเข้าแทรกแซงในการทำธุรกรรมเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ ฝ่ายบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน: Bitget พร้อมให้บริการด้วยกระบวนการจัดการข้อพิพาทที่พัฒนาขึ้นใหม่และกลไกต่อต้านการฟอกเงิน โดยฝ่ายบริการลูกค้าของเราพร้อมให้ความช่วยเหลือคุณในการแก้ไขปัญหาหรือข้อสงสัยต่างๆ ตลอดเวลา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bitget P2P โปรดดูที่ “ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Bitget P2P” ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์หรือเพิ่งจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งคริปโตอันน่าตื่นเต้น การตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่คุณใช้ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ Bitget P2P พร้อมนำเสนอการผสมผสานฟีเจอร์ที่สามารถยกระดับประสบการณ์เทรดของคุณ และให้การสนับสนุนที่คุณต้องการในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่งนี้ กระโจนเข้ามาและเริ่มต้นเส้นทาง การเทรดคริปโตด้วยความมั่นใจ พร้อมเครื่องมือที่ใช่อย่างที่คุณต้องการ เพียงแค่สร้างบัญชี แล้วเริ่มสำรวจ Bitget-Verse ที่น่าทึ่งวันนี้เลย! บทสรุปส่งท้าย สรุปได้ว่า การเลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต P2P ที่ดีที่สุดนั้นต้องอาศัยการพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญคือการพิจารณาด้านความปลอดภัย ศักยภาพในการใช้งาน และความหลากหลายของสินทรัพย์ รวมไปถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมและความพร้อมใช้งานในภูมิภาค หากทำเช่นนี้แล้ว นักเทรดจะสามารถเริ่มต้นเส้นทางการเทรดคริปโตได้อย่างมั่นใจ โดยรู้ว่าได้คัดเลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน P2P ที่เชื่อถือได้และเหมาะสมแก่การมุ่งไปสู่เป้าหมายในการเทรดของตน เพื่อให้คุณได้ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน, การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี หรือเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับบล็อกเชน Bitget Academy จึงได้จัดเตรียมแหล่งข้อมูลที่ครอบคลุมพร้อมด้วยผู้สอนที่เชี่ยวชาญไว้ให้คุณแล้ว เริ่มต้นเส้นทางสายคริปโตได้เลยวันนี้ที่เว็บไซต์ Bitget Academy!

เหตุใด KYC จึงมีความสำคัญในการชำระเงินด้วย Fiat

บทความนี้จะอธิบายว่า KYC คืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยในการชำระเงินด้วย Fiat KYC คืออะไร KYC หรือ Know Your Customer ทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบบริการทางการเงิน วัตถุประสงค์หลักของ KYC คือ การทำให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการชำระเงินจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้ค้าของตน ซึ่งขั้นตอนนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการป้องกันการเข้าถึงระบบการชำระเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต และการตรวจสอบความถูกต้องในบริการของผู้ค้า ข้อกำหนดของกระบวนการ KYC มีรากฐานมาจาก The Bank Secrecy Act (BSA) ซึ่งบังคับให้สถาบันการเงินมีส่วนร่วมในการป้องกันการฟอกเงิน การสนับสนุนเงินทุนก่อการร้าย และการกระทำที่ผิดกฎหมายอื่นๆ สิทธิประโยชน์ของการยืนยันตัวตน KYC จนเสร็จสิ้น KYC สำหรับผู้ค้า สำหรับบริษัทและผู้ให้บริการชำระเงินนั้น การเริ่มต้นทำธุรกรรมกับผู้ค้าคริปโตจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับหน่วยงานที่พวกเขากำลังติดต่อด้วย ซึ่ง KYC ในแง่มุมนี้มีชื่อเรียกอย่างเหมาะสมว่า KYB หรือ Know Your Business อย่างไรก็ดี บริษัทรับชำระเงินต่างตระหนักถึงความเสี่ยงในหลายๆ แง่มุมซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ค้ารายต่างๆ จึงได้นำแนวทางที่เป็นลำดับขั้นเข้ามาใช้งานเพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนด ทั้งนี้ แนวทางเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งการตรวจสอบยืนยันเชิงลึกให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ประเมินได้ของการดำเนินธุรกิจของผู้ค้า สุดท้ายแล้วแนวทางดังกล่าวจะช่วยสร้างระบบนิเวศที่ปลอดภัยและโปร่งใส ส่งเสริมความไว้วางใจระหว่างผู้ค้าและสถาบันการเงินที่สนับสนุนการลงทุนในคริปโตพวกเขาได้เป็นอย่างดี KYC สำหรับผู้ใช้ หากต้องการใช้บริการ Fiat On-Ramp และ Off-Ramp ของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ ผู้ใช้จะต้องทำการยืนยันตัวตน KYC ให้เสร็จสิ้นก่อนทำการฝากหรือถอนผ่านช่องทางเหล่านี้ ในกรณีนี้เอง KYC จะทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูที่คอยรับรองความปลอดภัยและการปฏิบัติตามการกำกับดูแล พร้อมทั้งช่วยป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน และสำหรับในบางกรณี กรอบการกำกับดูแลอาจกำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ใช้ระหว่างผู้ค้าและช่องทางการชำระเงิน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความโปร่งใสภายในระบบนิเวศขึ้นได้ เหตุใด KYC จึงมีความสำคัญในการชำระเงินด้วย Fiat นโยบาย KYC ของสถาบันการเงินประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ดังนี้ - นโยบายการรับลูกค้า: นโยบายนี้จะสรุปเกณฑ์ที่สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการชำระเงินใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า สิ่งนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวกรองในขั้นต้น โดยเชื่อมโยงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของสถาบันให้สอดคล้องกับโปรไฟล์ของลูกค้านั่นเอง - ขั้นตอนการระบุตัวตนลูกค้า: ขั้นตอนเหล่านี้ประกอบด้วยกระบวนการตรวจสอบยืนยันที่จะทำให้สถาบันสามารถยืนยันตัวตนของลูกค้าได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ขั้นตอนนี้เองที่สร้างรากฐานของ KYC โดยทำให้แน่ใจว่าธุรกรรมจะได้รับการดำเนินการจากบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมาย - การตรวจสอบธุรกรรม: การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเป็นรากฐานสำคัญของ KYC ด้วยการตรวจสอบธุรกรรม สถาบันจะสามารถตรวจจับความผิดปกติหรือรูปแบบการทำธุรกรรมที่น่าสงสัย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกระทำที่ผิดกฎหมายได้ นอกจากนี้ การเฝ้าระวังเชิงรุกยังมีส่วนช่วยส่งเสริมความมีหลักการของระบบนิเวศทางการเงินได้เช่นกัน - การจัดการความเสี่ยง: การลดความเสี่ยงถูกผสานไว้อย่างเหนียวแน่นในโครงสร้างของการทำ KYC โดยสถาบันต่างๆ จะประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากลูกค้า แล้วปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน แนวทางที่ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์นี้จะช่วยส่งเสริมให้สถาบันต่างๆ สำรวจภูมิทัศน์อันซับซ้อนของความปลอดภัยทางการเงินได้เป็นอย่างดี นโยบายทั้ง 4 นี้ช่วยให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการชำระเงินมีความเข้าใจอย่างครอบคลุม เกี่ยวกับเงินทุนที่ผ่านเข้ามาในระบบของตน ซึ่งจะเป็นไปตามกฎหมายการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (AML) และกฎหมายต่อต้านการสนับสนุนเงินทุนแก่การก่อการร้าย (CFT) ที่ควบคุมเซกเตอร์การเงินอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง KYC จึงถูกมองว่าเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการกำกับดูแลและธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง ด้วยการยึดมั่นในโปรโตคอล KYC ทั้งผู้ให้บริการชำระเงินและผู้ค้าต่างก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นปฏิบัติตามกรอบการกำกับดูแล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องได้ในที่สุด นอกจากนั้น เนื่องจากบริการ On-Ramp และ Off-Ramp เป็น Gateway ที่ผู้ใช้แลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินดั้งเดิมและ คริปโทเคอร์เรนซี การนำ KYC เข้ามาใช้งานเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปกป้องช่วงการเปลี่ยนผ่านระหว่างแพลตฟอร์มที่สำคัญนี้นั่นเอง ทั้งนี้ กระบวนการดังกล่าวจะตรวจสอบและยืนยันว่าผู้ใช้เป็นบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งมีส่วนร่วมในธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ กล่าวได้ว่า ด้วยการยึดมั่นและปฏิบัติตามหลัก KYC ช่องทางเหล่านี้ก็จะสามารถลดความเสี่ยงของการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำที่เป็นการฉ้อโกง และโอกาสเกิดอาชญากรรมทางการเงินได้ ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการ KYC ยังช่วยให้สถาบันลดความเสี่ยงต่างๆ ได้โดยอนุญาตให้จัดหมวดหมู่ผู้ใช้ตามแบบบันทึกข้อมูลบัญชีความเสี่ยง (Risk Profile) แล้วจึงให้ผู้ใช้ที่มีระดับความเสี่ยงต่างกันได้รับการตรวจสอบในระดับที่เหมาะสม แนวทางที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมนี้จะช่วยให้สถาบันสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย ในบริบทนี้ Bitget ถือเป็นตัวอย่างชั้นยอดของการใช้ KYC เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้ ความโปร่งใส และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ขั้นตอน KYC แบบเป็นระดับขั้นของ Bitget ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับมาตรฐานการกำกับดูแลระดับโลก แต่ยังเสริมสร้างความปลอดภัยของผู้ใช้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพอีกด้วย ทั้งนี้ การใช้กระบวนการยืนยันตัวตน KYC ที่มีความเรียบง่าย มีประสิทธิภาพ และยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลางได้แสดงให้เห็นว่า Bitget พร้อมปกป้องบัญชีและสินทรัพย์ของผู้ใช้อยู่เสมอ ซึ่งนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการชำระเงินด้วย Fiat และเทรดคริปโทเคอร์เรนซีได้อย่างสบายใจ อ่านเพิ่มเติม: นโยบายด้าน AML/KYC ของ Bitget ข้อดีของ Bitget KYC คู่มือการยืนยันตัวตน KYC บน Bitget ฉบับรวบรัด ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

คริปโต 101: บทบาทของ Stablecoin ในอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี

ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจอุตสาหกรรมคริปโตจากทางด้าน Stablecoin กันบ้าง Stablecoin ได้เข้ามาเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ของอุตสาหกรรม คริปโทเคอร์เรนซี โดยเข้ามาเป็นตัวจัดการกับปัญหาเลื่องชื่อในเรื่องความผันผวนของตลาด รวมถึงทำหน้าที่สำคัญอย่างการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยให้นักลงทุนและการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ บทความนี้เราจะมาอธิบายฟังก์ชันของ Stablecoin และผลกระทบของสินทรัพย์ดังกล่าวต่อระบบนิเวศคริปโตกัน Stablecoin คืออะไร Stablecoin เป็น สินทรัพย์ดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับสินทรัพย์ซึ่งเป็นทุนสำรอง โดยมากแล้วจะเป็นสกุลเงิน Fiat หรือโภคภัณฑ์ เพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ โดย Stablecoin ที่รู้จักกันดีก็เช่น Tether (USDT), USD Coin (USDC) และ Paxos Standard (PAX) เป็นต้น ฟังก์ชันหลักของ Stablecoin สินทรัพย์ปลอดภัยระหว่างความผันผวน Stablecoin ทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก โดยนักลงทุนสามารถแปลงสินทรัพย์คริปโตที่มีความผันผวนเป็น Stablecoin ได้ ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงและรักษากำลังซื้อของตนไว้ได้ อำนวยความสะดวกให้แก่ธุรกรรมบนแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ Stablecoin มีบทบาทสำคัญในวงการ Decentralized Finance (DeFi) และบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ ซึ่งมักใช้สินทรัพย์ดังกล่าวเป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนและเป็นหน่วยวัดมูลค่า เพิ่มความลื่นไหลในการทำธุรกรรมข้ามประเทศ Stablecoin ทำให้ธุรกรรมข้ามประเทศสามารถทำได้เร็วขึ้นและมีราคาที่ถูกลง ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี บล็อกเชนเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คนกลาง ปิดช่องว่างระหว่าง Fiat และคริปโต Stablecoin เข้ามาปิดช่องว่างระหว่างสกุลเงิน Fiat แบบดั้งเดิมและคริปโทเคอร์เรนซี โดยทำหน้าที่เป็น On-Ramp สำหรับนักลงทุนใหม่ๆ และเป็นตัวกลางในการชำระเงินสำหรับธุรกิจ ความท้าทายและแนวโน้มในอนาคต แม้ว่า Stablecoin จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็ยังต้องเผชิญความท้าทาย เช่นการตรวจสอบด้านการกำกับดูแล ตกอยู่ภายใต้การปล่อยข่าว FUD (ความกลัว ความไม่แน่นอน และความสงสัย: Fear, Uncertainty, Doubt) และประเด็นการอภิปรายทางปรัชญาต่างๆ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอนาคตของ Stablecoin ก็ยังคงเป็นแนวโน้มที่ยังอยู่ในเฟสการสำรวจความเป็นไปได้ โดยในขณะอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมีการเติบโตสุกงอมต่อไป Stablecoin ก็เริ่มจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการอำนวยความสะดวก ลดความเสี่ยง และส่งเสริมให้ผู้คนมีส่วนร่วมทางการเงินมากขึ้น กล่าวคือ Stablecoin ได้เข้ามาเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ของอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี ด้วยการเสนอความมั่นคง รวมถึงประโยชน์อีกหลากหลายให้แก่ทั้งผู้ใช้และนักลงทุนนั่นเอง กำลังหาทางเริ่มต้นบนเส้นทางคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ใช่ไหมล่ะ ก็มาเข้าร่วมกับเราได้เลย!

ขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ — แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

สรุปใจความสำคัญ • การขยายเพดานหนี้ไม่ได้มีอิทธิพลต่อตลาดทุนมากเท่าไรนัก • สภาพคล่องที่ลดน้อยลงและทัศนคติของหน่วยงานกำกับดูแลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคริปโต ส่งผลให้สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะล้าหลังในด้านเทคโนโลยีและการเมือง • ฮ่องกงและยูโรโซน (Eurozone) คือ ผู้นำในกลุ่มประเทศที่กำลังแข่งขันเพื่อเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลกที่มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม นโยบายการเงิน: มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) และนโยบายการเงินแบบหดตัว (Quantitative Tightening: QT) ก่อนที่จะเข้าเรื่องหลัก เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจคำว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) และนโยบายการเงินแบบหดตัว (Quantitative Tightening: QT) กันก่อน เพราะบทความต่อไปนี้เขียนขี้นโดยอิงจากพื้นฐานของนโยบายการเงินดังกล่าวเป็นหลัก อย่างที่เราทราบกันว่า ธนาคารกลางมีหน้าที่รักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับปกติที่ 2% ดังนั้น ทุกๆ ครั้งที่ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น ธนาคารกลางจะใช้นโยบาย QE หรือ QT เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในระบบขึ้นนั่นเอง “คริปโต” ที่เพิ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาดการเงินโลก ก็ตอบสนองต่อนโยบายเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน โดยความต้องการของนักลงทุนจะเปลี่ยนไปตามการปรับปริมาณเงินในระบบ กล่าวคือ หากนักลงทุนเห็นว่าการเข้าถึงเงินสำรองถูกจำกัด พวกเขาอาจลดปริมาณการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงในพอร์ตของตน เพื่อลดโอกาสเกิดการขาดทุน และในทำนองเดียวกัน หากนักลงทุนสามารถเข้าถึงเงินสำรองได้มากขึ้น พวกเขาก็จะกล้าลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน สถานการณ์แรกซึ่งเรียกว่า “QT” จะเกิดขึ้นเมื่อธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ยและขจัดสภาพคล่องออกจากตลาด อีกสถานการณ์ที่ตรงข้ามกับ QT คือ “QE” ซึ่งการใช้นโยบาย QE ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Federal Reserve: FED) ใช้นโยบายนี้หลังจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (The Great Recession) โดย FED คงระดับอัตราดอกเบี้ย (The Federal-Funds Rate) ไว้ต่ำกว่า 2% ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2008 จนถึงกันยายน 2018 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย (หรือ การบริโภค) ในระบบ ส่วนในยูโรโซน อัตราดอกเบี้ย 0% เริ่มต้นโดย Mario Draghi อดีตหัวหน้าธนาคารกลางยุโรป ( European Central Bank: ECB) ในปี 2016 เพื่อตอบสนองต่อภาวะเงินฝืดของกลุ่มประเทศในยูโรโซน งบดุลและสภาพคล่องของ FED จากข้อมูลของ Google Trends ระบุว่า จำนวนการค้นหาคำว่า 'Debt Ceiling' และ 'Debt Limit' (หมายความถึง “เพดานหนี้”) ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม 2023 อยู่ที่ 58 ครั้งต่อวันโดยเฉลี่ย ซึ่งถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับระดับการเปิดรับสื่อของผู้คนในปัจจุบัน แนวคิดที่ว่าสหรัฐฯ อาจผิดนัดชำระหนี้ได้ อาจฟังดูน่าสนใจอย่างน่าประหลาด แต่ผลที่ตามมานั้นกลับน่ากลัวและส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งโลกได้ จนถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่า มีโอกาสค่อนข้างต่ำที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้ ในปัจจุบัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร (House Speaker) และประธานาธิบดี (President) จับมือกันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น FUD ที่เกิดขึ้น — ความกลัว ความลังเล และความสงสัย — จึงหายไปในที่สุด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังระยะสั้นลดลงอย่างมาก (ดูกราฟด้านล่าง) หมายความว่านักลงทุนเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในการลงทุนกับตราสารหนี้มากขึ้น ตลาดหุ้นต่างยินดีกับ “การดำเนินการอย่างเป็นทางการ” ของข้อตกลงข้างต้น เนื่องจากดัชนี SP 500 พุ่งขึ้น 2.48% (เมื่อปิดตลาดในวันที่ 6 มิถุนายน 2023) จาก 4,179.83 ในวันที่ 31 พฤษภาคม และดัชนี NASDAQ Composite เพิ่มสูงขึ้นเป็น 13,276.42 (+2.64% ) ในขณะที่ Bitcoin สูญเสียมูลค่าไป 0.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน การขยายเพดานหนี้ของประเทศเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แม้ว่าเราจะโชคดีที่ไม่ต้องพบกับจุดจบทางการเงิน แต่ผลที่ตามมาในระยะยาวต่อตลาดทุนก็ยังต้องได้รับการพิจารณาอยู่เช่นเดิม ตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา เพดานหนี้ของสหรัฐฯ ได้ถูก “เพิ่มอย่างถาวร ขยายชั่วคราว หรือปรับใหม่” ถึง 78 ครั้ง ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของอำนาจการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2023 มูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดของ FED อยู่ที่ 8,385,854 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบสองเท่าของมูลค่าสินทรัพย์ในช่วงก่อนโควิด (มีนาคม 2020) การขยายเพดานหนี้ของประเทศสามารถบ่งชี้ได้ว่า FED มีแนวโน้มที่จะลดงบดุลของประเทศต่อไป และ QT จะดำเนินต่อไป โดย 1 ใน 3 ของผู้เข้าร่วมในตลาดคาดการณ์ว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกไตรมาสหนึ่งในเดือนมิถุนายน 2023 ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องของตลาดลดลงอีก อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากข้อมูลในสื่อและการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญแล้ว เราก็ยังต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายในการดำเนินนโยบายทางการเงิน 2 ประการของ FED (Dual Mandate) คือ “เสถียรภาพของราคา (Stable Stability) และระดับการจ้างงานเต็มที่ (Maximum Exployment)” ด้วยเช่นกัน นี่คือบทสรุปของการบริโภคและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มเฟส QT ใหม่ในเดือนเมษายน 2022 พบว่าอัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่ “แม่นยำกว่า” ที่เรียกว่า “Core CPI” หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน) ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญใด ทำให้สถานการณ์การจ้างงานยังคงเป็นไปในเชิงบวก และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบถัดไปมีความสมเหตุสมผล คริปโตถือเป็นหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าวิกฤติสินเชื่อตึงตัว (Credit Crunch) อาจไม่ร้ายแรงเท่าไรสำหรับตลาดคริปโต แต่ทัศนคติอันไม่เป็นมิตรของทางการสหรัฐฯ ที่มีต่อคริปโตก็ยังทำให้อุตสาหกรรมนี้ได้รับความเสี่ยงและผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่อยู่ดี ประการแรก คือ ดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar) เป็นสกุลเงิน Fiat ที่มีการเทรดกับคริปโตมากที่สุด และมูลค่าตามราคาตลาดของ Stablecoin ที่ตรึงไว้กับ USD นั้นก็ไม่อาจทำลายลงได้ นอกจากนี้ ความยุ่งยากในการใช้งาน On-/Off Ramp ก็ยังส่งผลต่อการนำคริปโตไปใช้งานในวงกว้าง รวมถึงปัญหาต่อระบบนิเวศของคริปโตสตาร์ทอัพ ซึ่งกำลังถูกจับตามองอย่างเข้มงวดในสหรัฐอเมริกา หาก Coinbase ยอมแพ้ในการต่อสู้กับข้อกล่าวหาด้านกฎระเบียบที่กำลังดำเนินอยู่ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2023 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้อง Binance, Binance.US และ Changpeng Zhao CEO ของ Binance แน่นอนว่าข่าวนี้หมายถึง “ช่วงราคาร่วง” สำหรับคริปโต แต่เนื่องจากขนาดของ Binance.US นั้นเล็กกว่า Binance เป็นอย่างมาก เราจึงเชื่อว่าคริปโตจะยังคงอยู่รอดต่อไปได้แม้ไม่มี Binance เช่นเดียวกับหลังจากเหตุการณ์ที่ Mt. Gox โดนแฮ็ก ยิ่งไปกว่านั้น ก.ล.ต. ได้กำหนดให้โทเค็นอย่างน้อย 10 รายการเป็นหลักทรัพย์: SOL, ADA, MATIC, FIL, ATOM, SAND, MANA, ALGO, AXS และ COTI และการยื่นฟ้อง Coinbase ด้วยข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับ “การเสนอขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ลงทะเบียน” ผ่านโปรแกรมการ Stake และ “การดำเนินธุรกิจในฐานะโบรกเกอร์โดยที่ไม่ได้ลงทะเบียน” สำหรับ Coinbase Wallet— ตามคำนิยามของ Non-Custodial Wallet หาก Coinbase เลือกที่จะยุติคดีโดยไม่มีการโต้แย้งกลับ เหตุการณ์นี้ก็จะกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าหวั่นใจสำหรับคดีใดๆ ในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับคริปโต ยังมีโอกาสให้แก้ต่างอีกมากสำหรับคริปโต สหรัฐฯ อาจใช้แนวทางที่รุนแรงเพื่อจัดการกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคริปโต แต่ประเทศและภูมิภาคอื่นๆ กลับอ้าแขน รับคริปโตเป็นอย่างมากเลยทีเดียว หากยุคบ้านป่าเมืองเถื่อนสิ้นสุดลง ก็เท่ากับโอกาสในการปกป้องผู้ใช้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมส่งเสริมโลกดิจิทัลทั้งหมดอย่างเป็นทางการเพื่อการทดลองและเติบโตอย่างยั่งยืน เอเชีย เทคโนโลยีบล็อกเชนคือแกนหลักของคริปโต และการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่การท่องเที่ยว, ความบันเทิง, การศึกษา, การกีฬา, โซเชียลมีเดีย และการดูแลสุขภาพ ไปจนถึงการเงินและความเป็นส่วนตัว ดังนั้น หลายประเทศและภูมิภาค เช่น สหราชอาณาจักร ฮ่องกง และสิงคโปร์ จึงวางตำแหน่งตัวเองเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลกแห่งใหม่ อย่างไรก็ดี ประเทศที่ทำให้เรามองเห็นถึงความทะเยอทะยานอันแรงกล้าในการเป็นบ้านหลังใหม่สำหรับบริษัทคริปโต คือ “ฮ่องกง” ซึ่งได้เปิดตัวใบอนุญาตสำหรับผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือน (VASPs) ก่อนที่จะอนุญาตให้ผู้ใช้รายย่อยเข้าถึงการเทรดคริปโตได้ไปเมื่อไม่นานนี้ นอกจากนั้น ฮ่องกงยังได้เลือก Ripple เพื่อเปิดตัวนำร่องสำหรับ e-HKD ด้วยเช่นกัน ย้อนกลับไปในช่วงสุดท้ายของปี 2022 คริปโต ETF รายการแรกในภูมิภาคเอเชียได้เปิดตัวขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และในเดือนเมษายน 2023 สำนักงานเลขาธิการการเงินฮ่องกง (Hong Kong Financial Secretary Office) ก็ได้ประกาศให้เงินช่วยเหลือ 500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงแก่ Cyberport เพื่อสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศ Web3 ในฮ่องกงอีกด้วย ในทางกลับกัน แผนของสิงคโปร์คือการมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจองค์กรและสถาบันคริปโตมากกว่าผู้ใช้รายย่อย นอกจากนี้ “DBS” ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ของสินทรัพย์ ก็ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับการเทรด DDEx ของผู้ใช้คริปโตระดับสถาบันไปในเดือนธันวาคม 2020 สินทรัพย์คริปโต 6 รายการที่มีให้เทรดที่นี่ ได้แก่ BTC, ETH, XRP, BCH, DOT และ ADA หลังจากนั้น 1 ปี ธนาคารดังกล่าวได้เข้าสู่ Metaverse ผ่านการจับมือเป็นพันธมิตรกับ The Sandbox ในปัจจุบัน รัสเซียเป็นประเทศที่มีการขุดคริปโตที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งรัสเซียต้องการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้ โดยใช้งานคริปโตในข้อตกลงสำหรับการส่งออกและนำเข้า หากข้อตกลงและการเรียกเก็บเงินนั้นเป็นไปตามกฎหมาย ก็จะส่งผลต่อความต้องการคริปโทเคอร์เรนซีแบบ PoW โดยเฉพาะ Bitcoin และทำให้ราคาสินทรัพย์เหล่านั้นสูงขึ้น ยูโรโซนและสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2023 รัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้ผ่านร่างกฎหมาย “Markets in Crypto-Assets (MiCA)” ซึ่งจะมีผลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 ประเด็นหลักของ MiCA นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการผู้ให้บริการสินทรัพย์คริปโต (CASPs) ซึ่งรวมถึงบริษัทที่ให้บริการคริปโตและผลิตภัณฑ์คริปโตด้านต่างๆ ทั้งหมด แม้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นผู้ออกโทเค็นก็ตาม อีกทั้งยังมีกฎสำหรับ Stablecoin ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมีไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดและล้มเหลวของอุตสาหกรรม เช่น การล่มสลายของ Terra (LUNA) อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์หลายคนกลับให้ความเห็นว่า กฎเหล่านี้อาจไปยับยั้งการเติบโตของสกุลเงินที่ไม่ใช่ของรัฐบาลได้ และอีกประเด็นที่สำคัญ คือ MiCA ไม่ได้มีกฎครอบคลุมถึง NFTs และการกู้ยืมคริปโตแต่อย่างใด สกุลเงินอ้างอิงที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 สำหรับ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับเงิน Fiat คือ สกุลเงินยูโร (Euro) ภายใน 5 เดือนแรกของปี 2023 อุปทานหมุนเวียนของ USDT (TetherUSD) เพิ่มขึ้น 25.6%, EURT (TetherEuro) 0.2% และ EUROC (CircleEuro) 93.6% ในขณะเดียวกัน อุปทาน USDC (CircleUSD) กลับลดลง 34.9% มูลค่าตามราคาตลาดของ USDT และ USDC รวมกันนั้นเพิ่มขึ้น 1.2% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่ามูลค่าตามราคาตลาดที่สูงขึ้นของ EURT รวมกับ EUROC ซึ่งอยู่ที่ 10.8% นอกจากนี้ ปริมาณของ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินยูโรยังแสดงแนวโน้มขาขึ้นให้เห็นอีกด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 HM Treasury ได้เผยแพร่ข้อเสนอสำหรับการกำกับดูแลคริปโตและการขอคำปรึกษา ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเปิดรับคริปโตของนายกรัฐมนตรี Rishi Sunak เพื่อให้สหราชอาณาจักรเป็นส่วนหนึ่งในแวดวงคริปโต โดยเป็นก้าวสำคัญที่ต่อเนื่องมาจาก “Edinburgh Reform” ที่ให้ความสำคัญกับ Fintech และนวัตกรรม เรามาพิจารณาสภาพแวดล้อมระดับมหภาคของภูมิภาคเหล่านี้กันสักครู่ ด้านล่างคือกราฟที่แสดงอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนและสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ ECB เริ่มใช้ QT ในเดือนเมษายน 2022 อัตราเงินเฟ้อในสหภาพยุโรป (HICP) ได้ลดลงเหลือเพียง 2% ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (The Bank of England: BoE) ยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งส่งผลให้เส้นอัตราเงินเฟ้อ (CPIH) ใกล้เคียงกับของสหภาพยุโรป แต่มีความลาดเอียงลงน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เราอาจคาดการณ์ได้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก BoE นั้นจะยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม ECB จะต้องคำนวณกระบวนการ QT ใหม่อีกครั้งหลังจากมีเศรษฐกิจถดถอยลงในช่วง 2 ไตรมาส ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ความพยายามสร้างกรอบการกำกับดูแลที่มีความครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิมของสหภาพยุโรปและหน่วยงานของสหราชอาณาจักรนั้นย่อมทำให้ตลาดคริปโตมีความคึกคักมากขึ้นในพื้นที่เหล่านี้ได้อย่างแน่นอน CBDC และสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenized สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC) เป็นเทรนด์ที่พวกเราทุกคนต้องพบเจอ ประเทศกว่า 114 ประเทศกำลังเริ่มใช้ CBDC โดยประเทศจีนเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในช่วงเริ่มต้นมากที่สุด เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2023 Ripple ได้ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ “Ripple CBDC” ซึ่งเป็น “โซลูชัน” ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อการชำระราคาและชำระเงินในทันทีผ่านการใช้ CBDC และแน่นอนว่าจะมีผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เราได้เห็นความคืบหน้าเมื่อ CBDC ได้เปิดประตูสู่โลกของสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenized ซึ่งเป็นไปตามการกำกับดูแล เช่น ตราสารหนี้ หลักทรัพย์ และการจำนอง ส่วนภารกิจของ DeFi คือการสร้างนวัตกรรม (เช่น Liquid Staking Derivative) และพัฒนาระบบการเงินแบบดั้งเดิมด้วยการทำธุรกรรมแบบไม่ต้องอาศัยการอนุญาต (Permissionless) และไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trustless) ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ดั้งเดิมต่างๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย CBDC คริปโตลอยตัวเหนือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น Bitcoin เกิดขึ้นในฐานะ “เงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer” และจะยังคงเป็นกลางไปตลอด (นั่นคือถ้า Satoshi Nakamoto ไม่ปรากฏตัวอีกเลย) นอกเหนือจากการเก็งกำไรที่ในปริมาณมากและแนวทางการใช้ประโยชน์จาก “Degen” แล้ว Bitcoin ก็ยังคงเป็นที่เก็บรักษามูลค่าที่เป็นกลางและไร้ความเสี่ยงของโลก — ไม่มีการผลิตอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความเสี่ยงของการผิดนัดชำระ ไม่มีการจัดการที่เป็นอันตราย เมื่อรวมกับพลังของ Smart Contract แล้ว Bitcoin จะถูกใช้งานอย่างเต็มที่เพื่อขจัดความเสี่ยงเชิงระบบที่มาพร้อมกับการพึ่งพาสกุลเงิน Fiat มากเกินไปและสร้างโลกที่มีความกระจายศูนย์อย่างแท้จริง ในระหว่างนี้ เราสามารถทำตามคำแนะนำของ Jim Cramer และทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามได้ ก็คือ ลงทุนในเทคโนโลยีและ AI (เรารู้ว่ามี Inverse Cramer ETF) แต่อย่าปฏิเสธ “เจ้าพวกแมวตัวใดตัวหนึ่งหรือแมวทั้งหมดเลยน่าจะดีกว่า!” แหล่งที่มา: Twitter ของ Jim Cramer ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

เรื่องของข้อมูล: Merkle Tree และ Proof-Of-Reserves (PoR)

คุณอาจเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับการล่มสลายของ FTX เมื่อไม่นานมานี้ หรืออาจจะได้ยินมามากเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการปรับโครงสร้างใหม่ในวงการคริปโทเคอร์เรนซีทั้งหมด ทำให้ความโปร่งใสที่แท้จริงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของนักลงทุน ถึงเวลาแล้วที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี บล็อกเชน ทั้งความโปร่งใสในตัวและการที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Immutability) แต่เราจำเป็นต้องเข้าใจแนวคิดของ Merkle Tree และ Proof-of-Reserve ก่อน หลักพื้นฐานของ Merkle Tree ถ้าให้อธิบายสั้นๆ Merkle Tree ก็คือโครงสร้างข้อมูลที่ทำหน้าที่เป็นตัวสรุปธุรกรรมทั้งหมดในบล็อกหนึ่ง ส่วนถ้าอธิบายโดยละเอียด Merkle Tree หรือที่เรียกว่า Binary Hash Tree ถูกสร้างขึ้นโดยการ Hash คู่ธุรกรรมเข้าด้วยกันเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือ Hash เดียวสำหรับทั้งบล็อก ในตัวอย่างด้านล่าง เราจะใช้ N0, N1, N2 และ N3 เพื่อแทนธุรกรรมหมายเลข 0, ธุรกรรมหมายเลข 1, ธุรกรรมหมายเลข 2 และธุรกรรมหมายเลข 3 ตามลำดับ เมื่อดำเนินการแต่ละธุรกรรม เราจะได้แฮชที่ไม่ซ้ำกันออกมา (Hash N0, Hash N1, Hash N2, Hash N3) การรวม Hash N0 และ N1 เข้าด้วยกัน เราจะได้เป็น Hash ใหม่ที่เรียกว่า Hash(N0+N1) และ Hash(N2+N3) ก็เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการเดียวกันนี้ ทำซ้ำขั้นตอนนี้จนกว่าจะถึง Hash(N4+N5) ซึ่งถือได้ว่าเป็น Merkle Root / Root Hash ของชุดข้อมูลนี้ กลับมาพูดถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบล็อกเชนกัน ก่อนอื่น ข้อมูลที่จัดเก็บในบล็อกเชนจะเชื่อมต่อถึงกันและกัน เนื่องจากแต่ละบล็อกมี Hash ของบล็อกก่อนหน้า หากธุรกรรมหนึ่งของบล็อกที่มีอยู่ถูกเปลี่ยนแปลง/แก้ไข ระบบจะสร้าง Hash ใหม่สำหรับธุรกรรมนี้ ซึ่งจะเปลี่ยน Layer ของ Hash ปัจจุบันจนถึง Root ทำให้ทั้งบล็อกนั้นและบล็อกทั้งหมดที่สร้างขึ้นหลังจากนั้นใช้ไม่ได้ แล้วมีความหมายอย่างไรสำหรับพวกเรา (ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี) Merkle Tree ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่สอดคล้องกัน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไม่สามารถลบได้ ซึ่งเราสามารถใช้ในการติดตามประวัติการทำธุรกรรมของ Wallet ใดก็ได้ อาจใช้เวลาสักพักในการตรวจสอบแต่ละ Hash ที่เกี่ยวข้อง แต่เราจะรู้เสมอหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เนื่องจาก Hash นั้นไม่ถูกต้อง ทำไมเราจึงต้องมี Proof-of-Reserve Proof-of-Reserve เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางหนึ่งมีทุนสำรองต่อสินทรัพย์ของผู้ใช้ในอัตราส่วน 1:1 กล่าวคือ เป็นการรับประกันว่าผู้ใช้จะสามารถถอนสินทรัพย์ของตนได้ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตแบบรวมศูนย์ (CEX) และผู้ให้บริการเก็บรักษาสินทรัพย์อื่นๆ (บริษัทที่ถือครอง Private Key ของ Wallet ของผู้ใช้ ซึ่งก็เป็นการครอบครองสินทรัพย์ของผู้ใช้) ที่จะเปิดเผยการตรวจสอบที่สามารถยืนยันได้เพื่อพิสูจน์ความสามารถในการชำระหนี้และการไม่ใช้งานสินทรัพย์ของผู้ใช้ในทางที่ผิด ไม่ว่าด้วยการเป็นเจ้าของ Wallet สาธารณะ, ผ่าน Cryptographic Proof หรือผ่านบริการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม ตัวชี้วัดความถูกต้องทางการเงินอย่างเป็นทางการคืออัตราส่วนของทุนสำรอง (อัตราส่วนระหว่างสินทรัพย์ที่มีอยู่ของบริษัทและสินทรัพย์ของผู้ใช้) ซึ่งต้องมีอย่างน้อย 100% เพื่อให้มั่นใจว่าสินทรัพย์มีความปลอดภัย #FundsAreSAFU Bitget ยึดมั่นในความโปร่งใสของระบบอย่างสูงสุด ในฐานะที่เราเป็นผู้สร้างแนวหน้าในพื้นที่ดิจิทัลและในวงการ CEX สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของ Bitget คือการสร้างความโปร่งใสให้กับทุกคนตลอดเวลา อัตราส่วนของทุนสำรองปัจจุบันอยู่ที่ 259,887% (สแนปช็อตเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2022 เวลา 16:00 น. UTC+7) Bitget ถือ BTC, ETH และ USDT ใน Wallet ของเรามากกว่าสินทรัพย์ของผู้ใช้ทั้งหมดเกือบ 2,600 เท่า ตัวเลขนี้จะได้รับการอัปเดตรายเดือนเพื่อให้ผู้ใช้ของเราสามารถติดตามสถานการณ์การชำระหนี้ของแพลตฟอร์มและระดับ สภาพคล่องของเราได้อยู่เสมอ เราจะเผยแพร่ BTC, ETH, USDT ของเราและ Address ที่เกี่ยวข้องไว้ที่นี่และโค้ด Open-Source ของโปรแกรมการชำระหนี้ของ Bitget ก็ได้รับการอัปเดตขึ้น Github แล้ว ซึ่งหมายความว่าทุกคนจริงๆ ไม่ว่าจะมีความรู้ทางด้านเทคนิคหรือไม่ ก็สามารถเข้าถึง Proof-of-Reserve ของ Bitget ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง อย่าลืมไปดู Bitget Protection Fund US$300 ล้าน และ Bitget Builders Fund US$5 ล้าน ของเรา เราไม่เพียงแต่ครอบคลุมการสูญเสียสินทรัพย์ของผู้ใช้ที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น แต่เรายังให้การสนับสนุนที่เตรียมการมาอย่างดีและทันท่วงทีแก่ผู้ใช้ FTX ที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย สุดท้ายนี้ เราได้เผยแพร่คู่มือโดยละเอียดเกี่ยวกับการตรวจสอบสินทรัพย์ไว้ที่นี่แล้ว เพื่อให้ผู้ใช้ Bitget สามารถตรวจสอบบัญชีของตนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ สแนปช็อตรายเดือนของสินทรัพย์ของผู้ใช้แต่ละคนจะเปิดเผยต่อสาธารณะอีกด้วย และแน่นอนว่าเราจะเซ็นเซอร์ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนก่อน ด้วยวิธีนี้และ Statement คริปโต 30 วันของเรา ผู้ใช้ของเราสามารถมั่นใจได้ 100% ว่า Bitget มีความสามารถที่จะดำเนินการคำขอการถอนของผู้ใช้ ดูใบรับรองทุนสำรองของ Bitget ด้วยตนเอง CEX ยังคงเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศคริปโตเพื่อให้บริการการเทรดที่ง่ายและมีสภาพคล่องสูง, การเริ่มใช้งานที่ง่ายสำหรับผู้ใช้ใหม่ และบริการ On-Ramp/Off-Ramp สำหรับนักลงทุนคริปโตทั่วโลก สุดท้ายแล้ว ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญของการทำให้คริปโตเป็นที่ยอมรับในสังคมกระแสหลัก และการล่มสลายของ FTX ช่วยให้เรามีโอกาสในการปรับโครงสร้างและสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างต่อเนื่อง เพียงสร้างบัญชี ก็เริ่มใช้งาน Bitget ได้แล้ววันนี้!

Hooked Protocol (HOOK) เตรียมพร้อมสู่การเติบโตอันยิ่งใหญ่ด้วยฐานผู้ใช้งานที่ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว

Bitget มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศให้ทราบว่า แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนของเรากำลังจะลิสต์ HOOK เข้าสู่ระบบเพื่อเอาใจนักเทรดที่ต้องการเป็นเจ้าของโทเค็นก่อนใคร! HOOK เป็นโทเค็นการกำกับดูแล (Governance Token) ของ Hooked Protocol ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเลเยอร์แบบ On-Ramp สำหรับรองรับการใช้งาน Web 3.0 ในระดับสาธารณะ (Mass Adoption) ซึ่งโปรเจกต์นี้เริ่มต้นได้อย่างดีเยี่ยม ถือว่าเป็นการปูทางให้เกิดการเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั้งในด้านโปรโตคอลและโทเค็นเลยทีเดียว ขอเกริ่นก่อนว่าบทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของความสำเร็จหลักๆ ในโปรเจกต์ HOOK ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน หากใครที่กำลังมองหาบทความที่กล่าวถึงภาพรวมของ Hooked Protocol และหลักการทำงาน เราขอแนะนำให้ไปอ่านที่ ลิงก์นี้ แทน รายละเอียดการลิสต์ Hook และการแจกจ่ายโทเค็น การลิสต์: ประเภทโทเค็น: BEP-20 บนเชน BNB อุปทานทั้งหมดของโทเค็น: 500,000,000 HOOK วันที่ลิสต์: 1 ธันวาคม 2022 ราคาเริ่มต้น: 1 HOOK = 0.1 USDT ที่มา: Whitepaper ของ Hooked Protocol การแจกจ่าย: Private Sale: 20% ของอุปทานทั้งหมดของโทเค็น ทีม: 20% ของอุปทานทั้งหมดของโทเค็น Treasury: 30% ของอุปทานทั้งหมดของโทเค็น ชุมชน: 25% ของอุปทานทั้งหมดของโทเค็น Binance IEO: 5% ของอุปทานทั้งหมดของโทเค็น ตารางการปล่อยโทเค็น HOOK (ที่มา: Whitepaper ของ Hooked Protocol) Hooked Protocol มีอัตราการเติบโตของผู้ใช้เพิ่มสูงถึง 25 เท่าภายในเวลาเพียง 1 เดือน Hooked Protocol ให้ความสำคัญกับผู้ใช้งาน Web 3.0 ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นโปรเจกต์นี้จึงมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ใช้งานเป็นหลัก แล้วค่อยๆ สร้างชุมชนจากจุดนั้น ปัจจุบัน Hooked Protocol นำหลักการของเกมมาประยุกต์ใช้ใน DApp ชื่อ Wild Cash ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ใช้ระบบ Quiz-to-Earn ในการมอบรางวัลตอบแทนแก่ผู้ใช้งานที่ตอบคำถามถูกต้อง โดยโทเค็นที่มอบเป็นรางวัลให้แก่ผู้เล่น สามารถนำไปใช้ในการ Stake หรือ Swap เป็น คริปโทเคอร์เรนซีสกุลอื่นๆ ได้ นอกจากนี้กิจกรรมแนะนำเพื่อนหรือครอบครัวก็ยังทำให้ได้โทเค็นเป็นรางวัลเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน ส่วนในอนาคต โทเค็น HOOK ก็จะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ครอบครองมากมาย เช่น ให้สิทธิ์การเข้าถึง NFTs แบบเอ็กซ์คลูซีฟและมอบสิทธิพิเศษสำหรับเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน รวมถึงยังสามารถนำไปใช้ซื้อสิ่งของต่างๆ ในแอปพลิเคชันและชำระค่าธรรมเนียม Gas ได้อีกด้วย ต้องขอบคุณกลไกต่างๆ เหล่านี้ที่ทำให้ Wild Cash ครองแชมป์อันดับหนึ่งบน Google Play ประจำประเทศอินโดนีเซียติดต่อกันเป็นระยะเวลากว่า 9 วัน และในปัจจุบันก็มีจำนวนผู้ใช้ต่อเดือนทะลุ 2 ล้านคนไปเรียบร้อยแล้ว ตัวเลขนี้แปลได้ว่าอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 25 เท่าภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนนั่นเอง Hooked Protocol ได้รับการจัดอันดับโดย DappRadar ให้เป็น DApp โซเชียลมีเดียชั้นนำมาตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปี 2022 และในปัจจุบันก็ยังคงครองตำแหน่งอันดับหนึ่งอยู่ ด้วยสถิติจำนวน Wallet พิเศษมากกว่า 1 ล้าน Wallet ที่ทำงานควบคู่กับ Smart Contract ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา นอกจาก Sequoia Capital แล้ว ผู้สนับสนุนหลักอีกรายอย่าง Binance ก็กำลังเปิด IEO สำหรับโทเค็น HOOK เพื่อระดมทุน 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่โปรเจกต์อยู่ด้วย ซึ่งจะช่วยให้โปรเจกต์พัฒนาต่อไปได้อีกไกลอย่างแน่นอน แผนการทำงานสำหรับปี 2023 ภายในปี 2022 นี้ Hooked Protocol มีแผนจะขยายตลาดไปทั่วโลก โดยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Quiz-to-Earn ในภูมิภาคต่างๆ และเพื่อรองรับการขยายฐานผู้ใช้ ทีมผู้พัฒนาจะสำรวจ Solution ระดับต่างๆ ผ่าน Layer 1 Infrastructure ต่อมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ทางองค์กรจะหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ให้อยู่ในรูปแบบเกมประเภทใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กับการทำงานร่วมกับโปรเจกต์ Web 3.0 และ DApp ต่างๆ เพื่อพัฒนาและขยายระบบนิเวศของ Hooked Protocol ให้มากกว่าเดิม นอกจากนั้นเป้าหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การเปิดตัว Wallet แบบผสมผสานสำห รับคริปโตเป็นครั้งแรกนั่นเอง ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 Hooked Protocol จะตั้งเป้าหมายที่การนำ DAO เข้ามาใช้งานและสร้าง Middleware Solution ในขณะที่ดำเนินการขยายฐานผู้ใช้และแอปพลิเคชันที่จะนำเสนอต่อไปด้วยเช่นกัน Bitget จะพร้อมให้บริการเทรดโทเค็น HOOK ในตลาด Spot ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2022 ถ้าคุณสนใจที่จะเทรดโทเค็นนี้ก่อนใคร ก็สามารถเข้าไปเทรดได้ที่ลิงก์นี้เลย ข้อสงวนสิทธิ์: รายชื่อผลิตภัณฑ์และโปรเจกต์ทั้งหมดที่ปรากฏในบทความนี้มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด ลงทะเบียนแล้วเริ่มต้นเส้นทางการเทรดคริปโตที่ปลอดภัยของคุณกับเราได้เลย!

อนาคตของ Stablecoin กับการชำระเงินด้วยคริปโต

Stablecoin เป็นรากฐานสำคัญของตลาด คริปโทเคอร์เรนซีมาตั้งแต่ที่ได้เปิดตัวครั้งแรกไปในปี 2014 โดยพื้นฐานแล้วเป็นแนวคิดที่ไม่ซับซ้อนในการสร้างคริปโทเคอร์เรนซีซึ่งคงราคาที่เสถียรไว้ในระหว่างที่ราคาตลาดร่วง ตามปกติแล้วเหรียญ Stablecoin จะตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์อ้างอิง และ Stablecoin หลายเหรียญก็มักตรึงไว้กับดอลลาร์สหรัฐและสกุลเงิน Fiat อื่นๆ ในอัตราส่วน 1:1 เหตุผลที่มีการสร้าง Stablecoin ก็เพราะตลาดต้องการสินทรัพย์ที่สามารถใช้เป็นที่เก็บรักษามูลค่าทางการเงินสำหรับการแปลงสินทรัพย์เข้าไปยังและออกจาก (On- Off-Ramp) ระบบนิเวศ DeFi สินทรัพย์จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซึ่งควรมีมูลค่าที่เสถียรเมื่อเวลาผ่านไป ในตลาดปัจจุบัน เหรียญ Stablecoin สามอันดับแรกที่มีการสำรองเงินสดคือ USDT, USDC และ BUSD โดยเหรียญ USDT มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดที่ $6.85 หมื่นล้าน ขณะที่ Stablecoin เหรียญอื่นๆ ก็มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมคริปโตขึ้นอย่างเป็นระบบและในปัจจุบันยังต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี Stablecoin รูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น Stablecoin ที่ใช้อัลกอริทึม ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมโดย TerraUSD (UST) เหรียญ Stablecoin ที่ใช้อัลกอริทึมโดยปกติแล้วจะเป็นประเภทของ Stablecoin ที่ใช้อัลกอริทึมเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ อัลกอริทึมเหล่านี้มักผูกเหรียญ 2 เหรียญเข้าด้วยกัน แล้วปรับราคาอิงตามอุปสงค์และอุปทานของนักลงทุน โดยไม่ได้อิงมูลค่ากับสินทรัพย์ แต่มีมูลค่าเท่ากันกับสินทรัพย์ดังกล่าว การใช้ Stablecoin เพื่อการชำระเงิน หากนำปัจจัยด้านการใช้งาน Stablecoin ในโลกความเป็นจริงมาวิเคราะห์ร่วมด้วย สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้: การโอนเงินที่รวดเร็วและไม่แพง การโอนเงินผ่านทาง Stablecoin ได้กลายมาเป็นหนึ่งในวิธีการชำระเงินที่ง่ายที่สุด ต่างจากกระบวนการของเครือข่าย SWIFT ที่ช้าและล้าสมัย และระบบการชำระเงินข้ามประเทศอื่นๆ เช่น MoneyGram, WesterUnion, WorldRemit เป็นต้น Stablecoin ช่วยให้โอนเงินสกุลที่อิงกับเงิน Fiat ได้ด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า โดยไม่จำเป็นต้องรอคิวนานที่ธนาคารและรอ 2-3 วันทำการ การ Hedge การลดมูลค่าของสกุลเงินท้องถิ่น สำหรับประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่สามหลายประเทศ Stablecoin เปิดโอกาสให้สามารถประกันความเสี่ยงการลดมูลค่าของเงินสกุลท้องถิ่นได้ รวมถึงประกันความเสี่ยงความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจในบางกรณี ส่วนใหญ่จะนำมาใช้เป็นวิธีการชำระเงินระหว่างบุคคลสองฝ่ายในประเทศ ระยะต่อไปคืออะไร เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีการออกกฎระเบียบกำกับดูแล Stablecoin โดยชาติมหาอำนาจต่างๆ ทางเศรษฐกิจของโลก จึงมีแนวโน้มสูงที่จะมีการยอมรับ Stablecoin มากขึ้นเพื่อใช้ชำระเงินและทำการค้าในระบบเศรษฐกิจโลกความเป็นจริง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีบริษัทและธุรกิจจำนวนมากที่ยอมรับการชำระเงินด้วย Stablecoin เป็นเหรียญ USDT, USDC, BUSD ฯลฯ