ข่าวสาร METAVERSE (METAV)

คอร์สพื้นฐานบล็อกเชน - โมดูล 3

บล็อกเชนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอินเทอร์เน็ตใหม่ และคริปโทเคอร์เรนซีก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการนำเทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัยสูงที่สุดนี้ไปใช้ ในโมดูลสุดท้ายของคอร์สพื้นฐานบล็อกเชน คุณจะได้เข้าใจถึงกรณีการนำไปใช้งานหลักๆ และคุณค่าของบล็อกเชนในโลกปัจจุบัน คริปโทเคอร์เรนซี Decentralized Finance (DeFi) Non-Fungible Token (NFT) Web 3.0 กับ Metaverse กรณีการนำไปใช้งานในโลกจริง

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Web3 และ Metaverse และการทำงานร่วมกัน

นับตั้งแต่กำเนิดขึ้นในต้นทศวรรษ 1990 อินเทอร์เน็ตได้พัฒนามาเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ล้ำค่าที่สุด โดยนำเสนอการเข้าถึงความรู้โดยรวมของมนุษยชาติได้ทันทีโดยไม่ว่าจะอยู่ที่ใด อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นๆ อินเทอร์เน็ตก็จำเป็นต้องมีการอัปเกรดเพื่อให้รองรับความต้องการสมัยใหม่ได้ดีขึ้น และตอนนี้เรากำลังเข้าใกล้แนวทางการเปลี่ยนผ่านในการสัมผัสประสบการณ์ World Wide Web ด้วยเช่นกัน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในปัจจุบัน มีโมเดลที่แตกต่างกัน 2 รายการที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ Web3 และ Metaverse ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในปัจจุบัน มีโมเดลที่แตกต่างกัน 2 รายการที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ Web3 และ Metaverse รุ่งอรุณแห่ง Web3 เพื่อให้เข้าใจถึงการกำเนิดขึ้นของ Web3 การย้อนดูเส้นทางของอินเทอร์เน็ตในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาแบบคร่าวๆ ก็จะช่วยได้อย่างมาก Web1 ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 และดำรงอยู่จนถึงประมาณช่วงปี 2004 เนื่องจากอินเทอร์เน็ตยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เว็บไซต์จึงมีลักษณะ “อ่านอย่างเดียว (Read-Only)” เป็นหลัก และผู้ใช้ส่วนใหญ่เพียงแค่รับข้อมูลจากเว็บไซต์ที่โฮสต์โดยบริษัทต่างๆ ไม่นานหลังจากเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียก็ได้รับความนิยม จนนำไปสู่ Web 2 ซึ่งในยุคนี้ไม่ได้เน้นเพียงแค่การเข้าชมเท่านั้น แต่ยังเน้นที่การมีส่วนร่วมผ่านการโพสต์และการร่วมสนับสนุนอีกด้วย ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเฟส “อ่านและเขียน (Read and Write)” ของ World Wide Web ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาสำหรับโฮสต์บนเซิร์ฟเวอร์ได้ แต่ถึงแม้จะมีการสนับสนุน เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทและองค์กรขนาดใหญ่เหล่านี้อยู่ดี ตรงนี้เองที่ Web 3 ก้าวเข้ามา Web3 คิดค้นขึ้นโดย Gavin Wood ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum และมีหัวใจหลักอยู่ที่การกระจายศูนย์ของอินเทอร์เน็ต โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการข้อกังวลของหลายๆ คนที่รู้สึกว่าบริษัทเอกชนจำนวนหนึ่งมีอำนาจควบคุมและอำนาจเหนืออินเทอร์เน็ตที่มีอยู่มากเกินไป อีกทั้งข้อกังวลที่ระบบต้องมีความไว้วางใจอย่างมากในหน่วยงานเหล่านี้จึงจะทำงานได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโซลูชันสำหรับปัญหานี้คือโครงสร้างแบบกระจายศูนย์โดยสมบูรณ์ซึ่งช่วยส่งเสริมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตให้ไม่เพียงแต่สามารถอ่านและเขียนเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของเนื้อหาได้ด้วย โดยพื้นฐานแล้ว Web3 มีคุณลักษณะสำคัญ 4 ประการที่จะปฏิวัติเว็บได้ ประการแรกและเป็นประการที่สำคัญที่สุด ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่าโครงสร้างพื้นฐานใหม่เป็นแบบกระจายศูนย์ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งหรือบริษัทขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งที่จะเป็นเจ้าของส่วนใดๆ ของอินเทอร์เน็ต ประการที่ 2 คือ Web3 นั้นเป็นแบบไม่ต้องอาศัยการอนุญาต (Permissionless) ซึ่งหมายความว่าทุกคนสามารถเข้าร่วมและเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่มีข้อยกเว้น ประการที่ 3 คือ Web3 สร้างขึ้นบนระบบที่ไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trustless) ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบุคคลที่สาม ในทางกลับกัน มีการเสนอรางวัลจูงใจทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกคน ประการสุดท้าย เพื่ออำนวยความสะดวกด้านรางวัลจูงใจเหล่านี้ Web3 จึงมีระบบการชำระเงินของตัวเองในรูปแบบของคริปโทเคอร์เรนซี โดยไม่ต้องใช้ตัวกลางอย่าง ธนาคารและตัวประมวลผลการชำระเงิน การปรากฎตัวของ Metaverse แม้ว่าจะมีการหารือกันถึง Web3 อย่างกว้างขวางตั้งแต่แนวคิดนี้ปรากฏขึ้นในช่วงประมาณปี 2014 แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็มีอีกแนวคิดหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากเช่นกัน นั่นก็คือ Metaverse ซึ่งคำนี้มีที่มาจากนวนิยายไซไฟเรื่อง Snow Crash ในปี 1992 และต่อมาแนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมในผลงานบนสื่อยอดนิยมอื่นๆ เช่น Ready Player One ในปี 2001 ในปัจจุบันคำว่า “Metaverse” ถูกใช้อย่างแพร่หลายเพื่ออธิบายแนวคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมเสมือนแบบถาวรที่มีการเชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งผู้ใช้สามารถติดต่อกันและเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้โดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงระบบและอุปกรณ์สวมศีรษะสำหรับโลกความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) และโลกความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบนิเวศที่บริษัทและนักพัฒนาจำนวนมากมองว่าเป็นก้าวถัดไปของวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ต แนวคิดนี้จึงขยายออกไปจนครอบคลุมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ ที่หลากหลายมากขึ้น วิสัยทัศน์ดังกล่าวได้พัฒนาไปสู่โลกเสมือนจริงแบบผสานรวมที่ทุกแพลตฟอร์มเชื่อมต่อกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถท่องไปในสภาพแวดล้อมดิจิทัลเหล่านี้ได้อย่างราบรื่นผ่านอวาตาร์ส่วนบุคคล Metaverse พยายามที่จะจำลองชีวิตประจำวันในโลกแห่งความเป็นจริงของเราอย่างใกล้เคียงมากที่สุดเพื่อนำมาไว้ในโลกดิจิทัล ตั้งแต่พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ สถาบันที่เป็นประโยชน์ ไปจนถึงสถานประกอบการค้าปลีก แม้ว่าฟีเจอร์บางอย่างเหล่านี้ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะกลายเป็นจริงได้ แต่เราก็ได้เห็นประสบการณ์ที่คล้ายกับการนำ Metaverse หลายแห่งมาใช้โดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น คอนเสิร์ตดนตรีที่จัดขึ้นในเกม Fortnite, การผจญภัยใน World of Warcraft และการทำงานร่วมกันในแพลตฟอร์มอย่าง VR Chat และ Horizon Workrooms ของ Meta ที่แสดงให้เห็นถึงโลกเสมือนจริงที่นำผู้คนมารวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมที่ตามปกติแล้วจะจัดขึ้นในสภาพแวดล้อมโลกแห่งความเป็นจริง ข้อแตกต่างที่สำคัญคือสภาพแวดล้อมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอิสระจากกัน โดยมีลักษณะเหมือนเป็นหลายๆ Metaverse ที่แยกจากกัน แทนที่จะเป็น Metaverse ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจริงๆ แล้ว บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งได้เริ่มพัฒนา Metaverse ของตนเองกันแล้ว ได้แก่ Meta (เดิมคือ Facebook), Microsoft, Nvidia, Roblox และ Epic Games ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ก็คือ แทนที่จะมี Metaverse เดียวที่เป็นสากลเหมือนอย่าง The Oasis ใน Ready Player One เราก็จะมี Metaverse ที่แตกต่างกันหลายแห่งที่แข่งขันกันเพื่อแย่งชิงความนิยมและการใช้งานจากบริษัทต่างๆ หากคุณเป็นผู้สนับสนุนประสบการณ์การใช้งานเว็บแบบที่มีการกระจายศูนย์มากขึ้น ถึงตอนนี้ คุณอาจทราบแล้วว่า ยังมีข้อกังวลเดียวกันกับใน Web2 คือ มีบริษัทไม่กี่แห่งจะมีสิทธิ์ควบคุมอินเทอร์เน็ตมากเกินไป โซลูชันสำหรับความท้าทายเหล่านี้คือ การวนกลับมาที่เดิม หรือก็คือ Web3 นั่นเอง แตกต่างแต่ช่วยเสริมกัน หากดูเผินๆ Web3 และ Metaverse ในอุดมคติคือวิสัยทัศน์ 2 ประการเกี่ยวกับอนาคตของอินเทอร์เน็ตที่ดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่แตกต่างกันมาก ซึ่งอย่างแรกคือ Web3 จะสร้างโครงสร้างที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นสำหรับ World Wide Web ในขณะที่อย่างหลังคือ Metaverse หวังที่จะทำให้การท่องอินเทอร์เน็ตเป็นประสบการณ์ที่สมจริงยิ่งขึ้น ทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องกับประเด็นที่แยกจากกัน โดย Web3 มุ่งเน้นไปที่การปลดแอกระบบทั้งหมดมากกว่า ส่วน Metaverse มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้ใช้ปลายทางแทน การสร้าง World Wide Web แบบกระจายศูนย์อาจไม่ได้นำไปสู่ Metaverse เสมอไป และการสร้าง Metaverse ก็อาจไม่ได้ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นประชาธิปไตยเสมอไป อย่างไรก็ตาม ดังที่คุณอาจจะพอเข้าใจแล้วในตอนนี้ Web3 และ Metaverse นั้นมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน ตามที่กล่าวไว้ในหัวข้อที่แล้ว ปัญหาหลักประการหนึ่งของ Metaverse (หรืออย่างที่เราคาดไว้คือ Metaverse หลายแห่ง) ก็คือ อำนาจบนอินเทอร์เน็ตจะยังคงอยู่ในมือของผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ซึ่งการสร้าง Metaverse ที่แท้จริงโดยใช้เทคโนโลยี Web3 จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผู้ใช้เป็นผู้ควบคุมโลกเสมือนจริงแทน และด้วยการสร้างโลกดิจิทัล 3 มิติที่เป็นสากลและกระจายศูนย์ ผู้ใช้ก็สามารถท่องผ่านสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันได้อย่างราบรื่น โดยรักษาความเป็นเจ้าของในตัวตน ข้อมูล และการมีส่วนร่วมอย่างปลอดภัยไว้ แน่นอนว่ายังมีด้านอื่นๆ อีกที่ทั้ง 2 อย่างสามารถทำงานควบคู่กันไปได้เช่นกัน โดย Metaverse ต้องอาศัยสกุลเงินดิจิทัลในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เทคโนโลยี Web3 อย่าง Non-Fungible Token (NFT) และคริปโทเคอร์เรนซีสามารถให้การเป็นเจ้าของทั้งสินทรัพย์และที่เก็บรักษามูลค่าได้อย่างปลอดภัย รวมถึงสามารถพัฒนา DApp (แอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์) และ DAO (องค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์) เพื่อยกระดับ Metaverse และสร้างประสบการณ์แบบใหม่ล่าสุด และในเวลาเดียวกัน ครีเอเตอร์และผู้ใช้ยังคงอยู่ในการควบคุม สามารถตัดสินใจร่วมกันได้ว่าควรดำเนินการพัฒนาอย่างไร ด้วยวิธีนี้ Web3 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำให้ Metaverse เป็นประชาธิปไตย อนาคตของอินเทอร์เน็ต เมื่อใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ Web3 ต่างๆ ที่เราได้กล่าวถึงไป อินเทอร์เน็ตจะมีศักยภาพที่จะวิวัฒนาการเป็น Metaverse ที่ปราศจากการเซนเซอร์และลักษณะที่มีผู้ขายน้อยราย ถึงแม้ว่าโมเดลอนาคตของเว็บทั้ง 2 โมเดลจะมีมา 2-3 ปีแล้ว แต่เรายังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการพัฒนา และไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะใช้เวลาสักระยะหนึ่งก่อนที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะแพร่หลายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเทคโนโลยีก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเกิดขึ้นของระบบใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้อาจปฏิวัติเศรษฐกิจโลกและวิธีที่เราในฐานะบุคคลจะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกันได้

GensoKishi Metaverse (MV): เชื่อมโยงความเป็นจริงเพื่อดินแดนดิจิทัลใหม่

GensoKishi Metaverse (MV) คืออะไร GensoKishi Metaverse คือวิวัฒนาการขั้นถัดไปของ Elemental Knights Online เกม 3D MMORPG ที่ครองใจเหล่าเกมเมอร์มาเป็นเวลากว่า 15 ปี GensoKishi Metaverse หรือเรียกสั้นๆ ว่า Genso แสดงถึงการก้าวกระโดดไปสู่อนาคต ผสมผสานองค์ประกอบของ Web3, เกมเพลย์ RPG และความเป็นไปได้อันมหาศาลของ Metaverse เข้าด้วยกัน โดย Metaverse นั้นนำมิติใหม่มาสู่ประสบการณ์การเล่นเกมด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับการสร้างเศรษฐกิจเสมือนจริงภายในเกม ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งทั้งในอุตสาหกรรมเกมและบล็อกเชน GensoKishi Metaverse จึงโดดเด่นในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกที่แข็งแกร่งในโลกของ GameFi และ Metaverse ในปี 2022 นั้น GensoKishi มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 8.83 แสนล้านเยน ทำลายสถิติในอุตสาหกรรมบล็อกเชน ขณะที่การมีผู้เข้าใช้งานอย่างแพร่หลาย การขายอย่างรวดเร็วบนแพลตฟอร์มเปิดตัว และการยอมรับจาก Tokyo Blockchain Game AWARDS รวมถึงจากรัฐบาลญี่ปุ่น ก็ล้วนตอกย้ำถึงประสิทธิภาพและศักยภาพอันยอดเยี่ยม GensoKishi Metaverse (MV) ทำงานอย่างไร GensoKishi Metaverse ประกาศศักราชใหม่ที่ Metaverse จะไม่ใช่แค่สถานที่สำหรับการเล่น แต่จะเป็นผืนผ้าใบให้วาดภาพความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุดและประสบการณ์อันดื่มด่ำสมจริง ความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นได้ด้วยบริการสำคัญต่างๆ 6 ประการ ดังนี้ เกม GensoKishi Online เสาหลักของแพลตฟอร์มคือเกมออนไลน์ GensoKishi ในฐานะที่เป็น Metaverse ธีมแฟนตาซีแนว MMORPG จึงได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับประสบการณ์การเล่นเกมด้วยการผสมผสานโลกเสมือนเข้ากับโลกความเป็นจริง ตัวเกมนำเสนอสภาพแวดล้อมที่มีผู้เล่นหลายคนขนาดใหญ่ ซึ่งผู้เล่นจะเชื่อมต่อถึงกันในอาณาจักร 3 มิติ เข้าร่วมในกิจกรรมมากมายที่ได้รับอำนวยความสะดวกโดยการนำเข้าโทเค็น LAND, NFT และ MV/ROND GENSO Maker GENSO Maker เป็นแอปพลิเคชันที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถสร้างภูมิทัศน์เสมือนจริงของตนเองได้ เครื่องมือที่เหมาะสำหรับมือใหม่นี้จะทำให้ผู้เล่นสามารถวางวัตถุ ออกแบบ LAND ของตนเอง ดูผลงานสร้างสรรค์ผ่านสายตาของตัวละคร และเผยแพร่โลกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตนเองบนแพลตฟอร์ม GENSO ได้ นอกจากนี้ ตัวแอปพลิเคชันยังอำนวยความสะดวกในการสร้างสกินตัวละครที่สามารถส่งออกไปเป็น NFT ได้อีกด้วย จึงช่วยให้สามารถปรับแต่งและเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในเกมได้ GENSO Game Developers Kit สำหรับผู้ที่มีความหลงใหลในการพัฒนาเกม ชุด GENSO Game Developers Kit ก็เป็นชุดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ชุดเครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าอีเวนต์ในเกม เปิดตัวตัวละครใหม่ มอนสเตอร์ และอีกเพียบ การผสานการทำงานกับ Unity ช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสบการณ์การพัฒนาที่ราบรื่นไม่มีสะดุด ช่วยให้ผู้สร้างทำให้วิสัยทัศน์จินตนาการของตนเป็นจริงขึ้นมาได้ในโปรเจกต์ LAND เต็มรูปแบบ LAND Viewer LAND Viewer ช่วยให้ออกสำรวจพื้นที่อันกว้างใหญ่ของ GENSO LAND ได้อย่างง่ายดาย ผู้เล่นสามารถเลื่อนดูแผนที่เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกว่าใครเป็นเจ้าของ LAND ผืนใดบ้าง ฟีเจอร์นี้เปิดโอกาสในการซื้อ ขาย และแม้กระทั่งเจรจาต่อรองเช่าอสังหาริมทรัพย์เสมือนจริง การมีปุ่ม “ติดต่อเจ้าของ / contact owner” ก็ช่วยอำนวยความสะดวกในการสื่อสารโดยตรงระหว่างผู้เล่น ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการโต้ตอบภายใน Metaverse GENSO BLOCK สำหรับแนวทางการสร้างวัตถุที่ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้น GENSO BLOCK ก็ให้วิธีการที่ง่ายดายยิ่งขึ้นในการสร้างวัตถุเสมือนภายใน Metaverse การใช้บล็อกทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างไอเท็มที่จะมีเพียงชิ้นเดียวได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด โดยเพิ่มความเรียบง่ายให้กับกระบวนการสร้างสรรค์ Creator's Program Creator's Program เป็นรากฐานสำคัญของการสนับสนุนสำหรับบุคคลที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนาและมีส่วนสนับสนุน GENSO Metaverse โปรแกรมนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ โดยมีการจัดการแข่งขันพร้อมรางวัลเงินสดสำหรับผลงานสร้างสรรค์ที่โดดเด่น ผู้ให้การสนับสนุนและบริษัทต่างๆ ไม่เพียงให้การสนับสนุนทางการเงินเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในระบบนิเวศที่เฟื่องฟูด้วย ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้สร้าง GENSO Metaverse จะได้รับการยอมรับและได้รับรางวัลจากการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์ของตน โปรแกรมนี้เป็นตัวอย่างของสภาพแวดล้อมในการทำงานร่วมกันที่ผู้สร้างได้รับการสนับสนุนให้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ของตนเองออกมา โดยมียอดขายของ GENSO อย่างเป็นทางการสร้างรายได้เพื่อรักษาและขับเคลื่อนการพัฒนาของ Metaverse MV พร้อมให้บริการบน Bitget Metaverse Token (MV) เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของ GensoKishi Metaverse โดยให้สิทธิ์ในการโหวต การซื้อที่มีส่วนลด และฟังก์ชันการ Stake เป็น Utility Token ที่นำไปใช้งานได้ในหลายแง่มุมของแพลตฟอร์ม ตั้งแต่การยกระดับประสิทธิภาพของเกมไปจนถึงสิทธิพิเศษในการเข้าถึงก่อนใคร เข้าร่วมในแนวหน้าของการปฏิวัติวงการ Metaverse ด้วยการเทรดโทเค็น MV บน Bitget ได้เลยหลังจากการลิสต์ในวันที่ 21 ธันวาคม วิธีเทรด MV บน Bitget ขั้นตอนที่ 1: ไปที่หน้า “การเทรด Spot MVUSDT / MVUSDT spot trading ” ขั้นตอนที่ 2: ป้อนจำนวนและประเภท Order จากนั้นคลิก “ซื้อ/ขาย” หรือ “Buy/Sell” สามารถดูวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเทรด Spot บน Bitget ได้ที่ คู่มือฉบับเจาะลึกสู่การเทรด Spot บน Bitget ด้วยการผสมผสานสิ่งที่ดีที่สุดของเกม บล็อกเชน และความคิดสร้างสรรค์ของผู้ใช้เข้าด้วยกัน GensoKishi Metaverse ให้คำมั่นว่าจะไม่เพียงแค่ให้มองผ่านๆ แต่จะให้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในอนาคตที่ความเป็นจริงรูปแบบต่างๆ นั้นไร้ขอบเขต เทรด MV บน Bitget เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

Carbon Browser (CSIX): เว็บเบราว์เซอร์สำหรับอินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์

Carbon Browser (CSIX) คืออะไร Carbon Browser เป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีความเป็นส่วนตัวซึ่งได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสำหรับ Web3 โดยเฉพาะ เบราว์เซอร์ Carbon จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ถึงประสบการณ์ท่องเว็บที่ราบรื่น เป็นมิตรต่อผู้ใช้ และสะดวกสบาย ด้วยการใช้ประโยชน์จากการนำเว็บเบราว์เซอร์ Chromium มา Fork และปรับแต่ง พร้อมทั้งใช้ Blink Engine อันทรงพลัง กล่าวได้ว่า Carbon Browser มีจุดมุ่งหมายในการมอบประสบการณ์ Web3 แบบครบวงจรและปลอดภัย พร้อมด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Multi-Chain Wallet, Bridge, VPN และการบล็อกโฆษณา (AdBlock) เป็นต้น Carbon Browser (CSIX) ทำงานอย่างไร เว็บเบราว์เซอร์รุ่นใหญ่ในปัจจุบัน เช่น Chrome และ Safari แม้จะถูกนำไปใช้งานกันอย่างแพร่หลาย แต่กลับไม่สามารถมอบประสบการณ์ท่องเว็บที่เน้นด้านความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้ใช้ได้ ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและการขาดฟีเจอร์สนับสนุนสำหรับ Web3 ในเบราว์เซอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เอง ทำให้เกิดการพัฒนา Carbon ขึ้นมา โดยเบราว์เซอร์ Carbon มีรากฐานมาจากหลักการด้านความเร็ว ความเป็นส่วนตัว และนวัตกรรม จึงสามารถให้บริการชุดผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าสิ่งเดิมๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยุคใหม่ได้ ทาง Carbon Browser กล่าวอ้างว่า จนถึงปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดเบราว์เซอร์ไปแล้วกว่า 7,030,109 ครั้ง โดยมีผู้ใช้งานสูงถึง 61,799 คนต่อวัน Carbon Browser หัวใจหลักของกลุ่มผลิตภัณฑ์จาก Carbon คือ Carbon Browser โดย Carbon Browser ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้และสามารถใช้งานได้สะดวกนี้ เกิดขึ้นจากการนำเว็บเบราว์เซอร์ Chromium ไป Fork และปรับแต่ง พร้อมทั้งใช้ Blink Engine ที่ทรงพลัง ในปัจจุบันเบราว์เซอร์ดังกล่าวสามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์ Android และมีแผนจะขยายไปยัง iOS และ PC ในอนาคต การผสมผสานนี้ทำให้ Carbon โหลดหน้าเว็บได้เร็วกว่าเว็บเบราว์เซอร์ Chromium อื่นๆ ถึง 3 เท่า (เช่น Chrome, Brave และ Opera) ช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดข้อมูลอินเทอร์เน็ต (Data) ได้มากถึง 95% เลยทีเดียว นอกจากนี้ Carbon ยังร่วมมือกับ “Eyeo” บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีสำหรับการบล็อกโฆษณา (Adblock) เพื่อสร้างฟีเจอร์บล็อกโฆษณาที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าขึ้นมาโดยเฉพาะ ดังนั้น Carbon AdX Marketplace จึงได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการสร้างระบบนิเวศที่ผู้ลงโฆษณาและผู้เผยแพร่สามารถมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนมูลค่าที่ยั่งยืนได้ โดยไม่กระทบต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตระหนักถึงความต้องการ Web3 ที่เพิ่มมากขึ้น Carbon จึงให้บริการชุดฟีเจอร์ Web3 ด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ Multi-Chain Wallet โดยทั่วไป และ Atomic Swap ที่รองรับบล็อกเชนต่างๆ ไปจนถึงการ Stake และ Browse-to-Earn กล่าวได้ว่า Carbon มุ่งหวังที่จะเป็น Gateway สู่ DApp และ Metaverse อย่างแท้จริง Carbon Pro สำหรับผู้ใช้ที่กำลังมองหาความเป็นส่วนตัวและการสนับสนุนในระดับที่สูงขึ้น Carbon Pro คือบริการระดับพรีเมียมที่เหมาะกับคุณ ด้วยโมเดล Subscription ที่ใช้ Utility Token ของ Carbon ที่ชื่อ “CSIX” Carbon Pro พร้อมให้บริการฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น VPN ระดับอัปเกรด, dVPN และ Firewall นอกจากนั้น บริการเวอร์ชันพรีเมียมนี้ยังให้การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ทำให้ผู้ใช้สัมผัสประสบการณ์ใช้งานในโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นใจและมีความปลอดภัยระดับสูง Carbon AdX Marketplace ภายใต้ความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์แห่งการโฆษณา Carbon ได้เปิดตัว Carbon AdX Marketplace ขึ้น แพลตฟอร์มโฆษณาแบบบริการตนเองนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ลงโฆษณาและผู้เผยแพร่โฆษณา ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนมูลค่าที่ยั่งยืนขึ้นมา กล่าวคือ ผู้ลงโฆษณาสามารถซื้อและขายโฆษณาที่ต้องการได้โดยตรงภายใน Carbon Browser ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมประสบการณ์การโฆษณาที่ไม่รุกล้ำ และในขณะเดียวกันก็เป็นการขับเคลื่อนการเติบโตของคอนเทนต์ครีเอเตอร์ออนไลน์ไปพร้อมๆ กัน เครือข่ายความร่วมมือ Carbon Browser ขยายขอบเขตไปไกลกว่าการเป็นเครื่องมือสำหรับการท่องเว็บเพียงเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนเครือข่ายความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้อีกด้วย กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถปลดล็อกรางวัลจากเครือข่ายของพาร์ทเนอร์ที่กำลังเติบโตได้เลย เพียงสะสมแต้มจากการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ยอดนิยมไปจนถึงองค์กรการกุศลที่คัดสรรมาแล้ว และสิทธิประโยชน์พิเศษภายใน Carbon Pro เครือข่ายความร่วมมือดังกล่าวนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าที่จับต้องได้ให้กับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้ทั้งสิ้น โทเค็น CSIX การเปิดตัว “CSIX” Utility Token ของ Carbon Browser ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ใช้อีกขั้นหนึ่ง โดยผู้ใช้ที่ถือ CSIX จะสามารถดำเนินการต่างๆ ได้ดังนี้: (1) เข้าถึงฟีเจอร์ระดับพรีเมียมของ Carbon Pro (2) มีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในการกำหนดทิศทางสำหรับอนาคตของ Carbon ผ่านการกำกับดูแลใน DAO (3) เพลิดเพลินกับส่วนลดค่าธรรมเนียมเมื่อใช้ Swap และ Bridge ในแอป (4) ใช้ฟีเจอร์ Account Abstraction ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ชำระค่าธรรมเนียม Gas ในโทเค็นใดก็ได้ที่นอกเหนือจากโทเค็นดั้งเดิมของบล็อกเชน (5) ซื้อพื้นที่สำหรับการโฆษณาบน Carbon Browser และ (6) เข้าร่วมในการ Stake กล่าวได้ว่า โมเดลอันซับซ้อนที่ขับเคลื่อนด้วยตัวโทเค็นนี้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของ Carbon ในด้านการกระจายศูนย์และความเป็นเจ้าของข้อมูลสำหรับผู้ใช้อย่างเห็นได้ชัด CSIX พร้อมให้บริการบน Bitget ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านการกำหนดอนาคตของการท่องเว็บ Carbon ขอเชิญชวนให้ผู้ใช้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ท่องอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่รวดเร็ว เป็นส่วนตัว และปลอดภัยพร้อมฟีเจอร์ที่ครบวงจร ในขณะที่ Carbon พร้อมเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนท่องเว็บเช่นนี้ CSIX จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้คุณใช้งานเบราว์เซอร์ได้เท่านั้น แต่เป็นเสมือนการลงทุนในอนาคตของอินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์มากกว่านั่นเอง ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงและเทรด CSIX บน Bitget เลย! ทั้งนี้ โทเค็นดังกล่าวมีกำหนดการลิสต์บน Bitget ในวันที่ 4 ธันวาคม วิธีเทรด CSIX บน Bitget ขั้นตอนที่ 1: ไปที่หน้า “การเทรด Spot CSIXUSDT / CSIXUSDT spot trading” ขั้นตอนที่ 2: ป้อนจำนวนและประเภท Order จากนั้นคลิก “ซื้อ/ขาย” หรือ “Buy/Sell” สามารถดูวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเทรด Spot บน Bitget ได้ที่ ​คู่มือฉบับเจาะลึกสู่การเทรด Spot บน Bitget เมื่อตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่อินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์ Carbon Browser จึงวางตำแหน่งตัวเองในฐานะผู้บุกเบิกในการเปิดรับและใช้งาน Web3 คว้าโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนซึ่งให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและความเป็นเจ้าของข้อมูลของคุณกัน เทรด CSIX บน Bitget เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

วิธีสำรวจการเติบโตของ Web3

สรุปใจความสำคัญ Web3 เป็นอินเทอร์เน็ตยุคถัดไป พร้อมเป้าหมายที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานแบบกระจายศูนย์ เพื่อให้ผู้ใช้มีอำนาจควบคุมอัตลักษณ์และข้อมูลของตนเองได้ Web3 สร้างขึ้นบนบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีหลัก และอาศัยเครือข่ายแบบกระจายศูนย์เพื่อสร้างอินเทอร์เน็ตที่มีความเปิดกว้าง โปร่งใส ปลอดภัย และมีความกระจายศูนย์มากกว่าเดิม Web3 พร้อมด้วยข้อดีอันเป็นเอกลักษณ์มากมายจะช่วยเร่งให้เกิดการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้งานอย่างแพร่หลาย แม้ว่าจะยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา แต่ก็ถือได้ว่า Web3 เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและโอกาสมากมาย ทั้งนี้ การพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวงการต่างๆ เช่น Decentralized Finance, Metaverse, GameFi และ AI ก็จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดยุคของ Web3 ขึ้นในไม่ช้า อินเทอร์เน็ตถือกำเนิดมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว และได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อพัฒนาการของสังคมมนุษย์และได้เปลี่ยนแปลงแง่มุมต่างๆ ในชีวิตของพวกเราไปอย่างสิ้นเชิง ในปัจจุบัน เราสามารถเพลิดเพลินไปกับความสะดวกสบายที่อินเทอร์เน็ตมอบให้ได้โดยไม่ต้องออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี ด้วยการถือกำเนิดของเทคโนโลยีบล็อกเชน อินเทอร์เน็ตก็กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “Web3” แล้ว Web3 คืออะไรกันแน่ และเทคโนโลยีนี้จะนำการเปลี่ยนแปลงและโอกาสอะไรบ้างมาให้กับพวกเรา Web3 คืออะไร Web3 ถือเป็นอินเทอร์เน็ตยุคถัดไปที่สร้างขึ้นบนเครือข่ายแบบกระจายศูนย์และเทคโนโลยีบล็อกเชน Web3 จะช่วยให้ผู้ใช้มีความเป็นอิสระมากยิ่งขึ้นในข้อมูลและอัตลักษณ์หรือตัวตนในรูปแบบดิจิทัลของตนเอง ตลอดจนสามารถดำเนินการธุรกรรมและโต้ตอบได้ด้วยความปลอดภัยที่เหนือชั้นกว่าเดิม แนวคิดของ Web3 ได้รับการนำเสนอขึ้นครั้งแรกโดย Dr. Gavin Wood หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum และ Polkadot ในปี 2014 เขาระบุว่า Web3 คือชุดพลังขับเคลื่อนและโปรโตคอลที่ริเริ่มทำให้อินเทอร์เน็ตมีความกระจายศูนย์ ตรวจสอบได้ และปลอดภัยมากขึ้น วิสัยทัศน์ของ Web3 คือการทำให้เกิดอินเทอร์เน็ตแบบไร้เซิร์ฟเวอร์และกระจายศูนย์ ซึ่งผู้ใช้สามารถควบคุมอัตลักษณ์ ข้อมูล และการดำเนินการของตนเองได้ นอกจากนี้ Web3 ยังจะนำเสนอระบบเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลกรูปแบบใหม่, สร้างโมเดลธุรกิจและตลาดใหม่, ปฏิวัติการผูกขาดแพลตฟอร์ม และขับเคลื่อนนวัตกรรมแบบล่างขึ้นบน (Bottom-Up) ที่แพร่หลายอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจึงมักเรียก Web3 ว่าอินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์ที่ทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน Web3 ทำงานอย่างไร Web3 ทำงานในลักษณะที่แตกต่างจากอินเทอร์เน็ตแบบดั้งเดิมอย่างมาก โดยจะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นแกนหลัก และอาศัยเครือข่ายแบบกระจายศูนย์เพื่อสร้างอินเทอร์เน็ตที่มีความเปิดกว้าง โปร่งใส กระจายศูนย์ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ในโลกของ Web3 ข้อมูลและแอปพลิเคชันจะไม่ได้จัดเก็บบนเซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์อีกต่อไป แต่จะกระจายเพื่อการจัดเก็บและประมวลผลผ่านเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ ซึ่งหมายความว่าข้อมูลผู้ใช้จะไม่ได้ได้รับการครอบครองหรือเป็นเจ้าของโดยบริษัทหรือสถาบันแห่งเดียว แต่ข้อมูลดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างอิสระโดยผู้ใช้แทน ดังนั้น ผู้ใช้จึงสามารถควบคุมข้อมูลและตัวตนในรูปแบบดิจิทัลได้มากกว่าเดิม ซึ่งรวมไปถึงการทำธุรกรรมและการโต้ตอบที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน ดังที่ Gavin Wood ได้กล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์ว่า “Web3 มีประสิทธิภาพเหนือชั้นกว่าหลายๆ สิ่ง โดยจะให้บริการแพลตฟอร์มที่ประกอบไปด้วยโปรโตคอล รูปแบบ และเทคโนโลยีที่หลากหลาย ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้เพื่อสร้างบริการหรือแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ตามที่คุณต้องการได้ โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่ในแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง” ศักยภาพและข้อดีของ Web3 ในทางเทคนิคแล้ว Web3 มีข้อดีหลักๆ หลายประการ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาของอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังช่วยเร่งให้เกิดการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้งานอีกด้วย 1. การไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trustlessness): การไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจเป็นคุณลักษณะสำคัญของ Web3 กล่าวคือ Web3 สามารถดำเนินการธุรกรรมและการโต้ตอบในลักษณะที่ไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trustless) ได้ หมายความว่าผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางหรือสถาบันบุคคลที่สามใดๆ ในการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ ข้อมูลและข้อมูลระบุตัวตนทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใช้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นการส่งเสริมสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่เสมอภาคและมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น 2. ไม่มีความล้มเหลวจากจุดเดียว (Single Point of Failure): ในสถาปัตยกรรมอินเทอร์เน็ตแบบดั้งเดิมที่ข้อมูลและแอปพลิเคชันจัดเก็บไว้ในส่วนกลางบนเซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ ความล้มเหลวใดๆ ของเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้อาจนำไปสู่การล่มของระบบ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียที่ไม่อาจคาดเดาได้ตามมา ในทางตรงกันข้าม Web3 ได้ลดการพึ่งพาตัวกลางเหล่านั้นออกไป ส่วนข้อมูลและแอปพลิเคชันต่างๆ ก็จะไม่ได้รับการจัดเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางอีก แต่จะมีการกระจายและประมวลผลผ่านเครือข่ายแบบกระจายศูนย์แทน กล่าวได้ว่า วิธีการจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลแบบกระจายศูนย์นี้สามารถป้องกันปัญหาความล้มเหลวจากจุดเดียว (Single Point of Failure) ได้ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ Node ใด Node หนึ่งล้มเหลว ระบบทั้งหมดก็ยังคงสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นต่อไป 3. ความสามารถในการทำงานร่วมกัน: “ปัญหา Walled Garden” ได้ขัดขวางการพัฒนาอันรวดเร็วของเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่ Web3 ที่ทำให้เกิดความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างบล็อกเชนที่แตกต่างกันได้นี้ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันและบริการบล็อกเชนต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น สิ่งนี้เองที่จะช่วยขับเคลื่อนอย่างจริงจังให้เกิดการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้งานอย่างกว้างขวางต่อไป โอกาสใหม่ในการใช้งาน Web3 ปัจจุบัน Web3 ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีองค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐานหลายประการอยู่ในระหว่างการพัฒนาหรือก่อตั้งขึ้น กล่าวได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ยังอีกยาวไกลเพื่อที่จะไปถึงโลกแห่ง Web3 ที่เราจินตนาการไว้ อย่างไรก็ตาม พบว่ามีโปรเจกต์อนาคตไกลเกิดขึ้นมากมายในบางเซกเตอร์ เช่น Decentralized Finance, Metaverse, GameFi และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองกำลังทำหน้าที่เร่งให้เกิดการมาถึงของยุคแห่ง Web3 DeFi เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับ Web3 กล่าวคือ DeFi เป็นระบบการเงินล้ำสมัยที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อขจัดสถาบันแบบรวมศูนย์และตัวกลางในระบบการเงินแบบดั้งเดิมออกไป ดังนั้นจึงทำให้เกิดบริการทางการเงินที่มีความยุติธรรม โปร่งใส และเปิดกว้างมากขึ้นได้นั่นเอง ทั้งนี้ DeFi ที่ประสบความสำเร็จก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ซึ่งรวมถึง Uniswap, Curve, 1inch และอื่นๆ Metaverse เป็นกรณีการใช้งานที่สำคัญสำหรับ Web3 ซึ่ง Metaverse นี้เป็นโลกเสมือนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดย Smart Contract ทำให้เกิดการโต้ตอบกับโลกจริงได้ และอำนวยความสะดวกในการเทรดและการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลได้เช่นเดียวกัน Metaverse จะนำประสบการณ์เสมือนรูปแบบใหม่ๆ มาสู่ผู้ใช้ เช่น เกม VR, นิทรรศการศิลปะแบเสมือน และร้านค้าในโลกเสมือน เป็นต้น ตัวอย่างโปรเจกต์ Metaverse ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ The Sandbox, Decentraland และอื่นๆ อีกมากมาย GameFi เป็นแนวทางการนำไปใช้งานที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่สำหรับ Web3 ทั้งนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยให้เกิดความเป็นเจ้าของ การเทรด และการจัดการสินทรัพย์ในเกมได้อย่างแท้จริง ทำให้ผู้เล่นรับผลตอบแทนในขณะที่เล่นเกมได้เลย กล่าวคือ สิ่งนี้ได้นำโมเดลธุรกิจใหม่และโอกาสในการพัฒนามาสู่อุตสาหกรรมเกมแบบดั้งเดิมเลยก็ว่าได้ โดยตัวอย่างโปรเจกต์ที่โดดเด่น ได้แก่ Axie Infinity, Enjin Coin และอื่นๆ SocialFi เป็นแนวทางการนำไปใช้งานที่มีศักยภาพสำหรับ Web3 ด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อให้เกิดการกระจายศูนย์ ความปลอดภัย และการปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้เอง ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ทางโซเชียลที่มีความอิสระ ปลอดภัย และโปร่งใสมากขึ้น นอกจากนี้ SocialFi ยังสามารถนำโมเดลธุรกิจที่มีความยุติธรรมและโปร่งใสมากกว่าเดิมมาสู่แพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดระบบนิเวศโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นได้ สำหรับ AI ก็นำไปใช้งานร่วมกับ Web3 ด้วยเช่นเดียวกัน โดยตัวอย่าง คือ การใช้งานผ่าน Machine Learning และ Data Mining เพื่อให้ได้ข้อมูลตัวตนและพฤติกรรมของผู้ใช้ (User Persona) และบริการให้คำแนะนำที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ลักษณะการกระจายศูนย์ของ Web3 ก็สามารถให้แหล่งข้อมูลที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้นสำหรับเทคโนโลยี AI ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า AI และ Web3 สามารถส่งเสริมและพัฒนาซึ่งกันและกันได้นั่นเอง สรุปปิดท้าย การพัฒนาและวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของเรา โดยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่างๆ ควบคู่ไปกับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น “Web3” ในฐานะอินเทอร์เน็ตยุคถัดไป แม้ว่าจะยังมีอนาคตที่ไม่ชัดเจนนัก แต่ข้อดีที่เป็นเอกลักษณ์ของเทคโนโลยีนี้ก็ทำให้เราเชื่อได้ว่า Web3 จะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้งานอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังมีส่วนช่วยในการสร้างโลกอินเทอร์เน็ตที่ชาญฉลาด เสรี เปิดกว้าง และเท่าเทียมกันมากขึ้นสำหรับพวกเราทุกคนอีกด้วย หากยังไม่ได้เป็น Bitgetter สมัครเพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่โลกคริปโตได้เลย!

เกมแบบ On-Chain: พรมแดนใหม่แห่งความบันเทิง

ตั้งแต่เกมกระดานและลูกเต๋าไปจนถึงกีฬาโยนบอลและจานร่อน หรือจะเป็นตั้งแต่เกมกระดานหมากรุกไปจนถึงเกม Minecraft และ Fortnite มนุษย์เราทุกคนต่างสนุกสนานไปกับเกมต่างๆ มาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ด้วยการมีสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต วิดีโอเกมได้พัฒนาและเติบโตอย่างรุ่งเรืองเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่ากว่าหลายพันล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ พร้อมด้วยประเภทและประเภทย่อยๆ ของเกมกว่าหลายร้อยรายการ อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันที่บล็อกเชนกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของอุตสาหกรรมเกือบทั่วทุกแขนง วงการวิดีโอเกมกลับดูเหมือนจะเงียบสงบผิดปกติไปเสียแล้ว เพราะเหตุใดจึงต้องนำเกมเข้าสู่ระบบ On-Chain ตามทฤษฎีแล้ว บล็อกเชนมีศักยภาพที่จะกลายเป็นสุดยอดแพลตฟอร์มเกมออนไลน์ได้ ด้วยการนำเสนอการเล่นเกมที่มีความยุติธรรม ความสามารถในการทำงานร่วมกันอันเหนือชั้น และศักยภาพในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า ความโปร่งใสและเป็นธรรม ในฐานะ Ledger ที่กระจายศูนย์แบบสาธารณะซึ่งมีคุณสมบัติไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ บล็อกเชนจึงบันทึกการดำเนินการทั้งหมดในลักษณะที่ไม่อนุญาตให้ย้อนกลับไปแก้ไขข้อมูลใดๆ ได้นั่นเอง ดังนั้น มิจฉาชีพและสแกมเมอร์ก็จะไม่มีที่ยืนในระบบดังกล่าวอย่างแน่นอน นอกจากนี้ กฎต่างๆ จะถูกเขียนขึ้นเป็น Code ลงใน Smart Contract แล้วระบบจะอนุญาตให้ผู้ที่ชื่นชอบบล็อกเชนกว่าหลายล้านคนได้มีโอกาสเข้ามาตรวจสอบ Code ทุกบรรทัด เพื่อยกระดับความปลอดภัยให้กับบล็อกเชนอีกด้วย ความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบ Cross-Game การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งแพลตฟอร์มเกมชั้นนำได้ดำเนินมาเป็นเวลากว่าทศวรรษแล้ว แม้ว่า Steam จะเป็นผู้นำที่ชัดเจนในแพลตฟอร์ม PC แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ เช่น Epic Games, Ubisoft และ Rockstar ต่างก็พยายามที่จะเข้ามามีบทบาทและชิงส่วนแบ่งจากตำแหน่งดังกล่าวด้วยแพลตฟอร์มของพวกเขาที่ออกแบบมาเพื่อเกม PC โดยเฉพาะ ส่วนในด้านของ Sony, Microsoft และ Nintendo ก็กำลังแข่งขันกันในตลาดเกมคอนโซลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณจะไม่สามารถใช้แพลตฟอร์ม Switch เพื่อดูรายละเอียดบัญชีและสินทรัพย์ในบัญชี PlayStation หรือดำเนินการกับสิ่งดังกล่าวได้ แต่สถานการณ์ข้างต้นอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปบนบล็อกเชน เพราะ Cross-Chain Bridge จะช่วยให้คุณทำการย้ายบัญชีจาก Chain หนึ่งไปสู่อีก Chain หนึ่งได้อย่างสะดวกสบาย และเนื่องจากบล็อกเชน Layer-1 และ Layer-2 กว่าหลายรายการมีคุณสมบัติในการทำงานร่วมกับ EVM ได้ เกม (และแอปพลิเคชันอื่นๆ) จึงสามารถย้ายข้ามบล็อกเชนต่างๆ ได้อย่างง่ายดายโดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โอกาสสำหรับระบบเศรษฐกิจที่ใช้บล็อกเชน แม้ว่าจะไม่ได้พึ่งศักยภาพของบล็อกเชน แต่วิดีโอเกมออนไลน์ เช่น Fortnite, Counter-Strike: Global Offensive และ EVE Online ก็สามารถพัฒนาระบบเศรษฐกิจในเกมของแพลตฟอร์มให้เกิดขึ้นได้ พร้อมด้วยไอเท็มที่ติดป้ายราคาอันน่าตกตะลึง เจ้าของมีดเล่มนี้ปฏิเสธข้อเสนอมูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังเจรจาให้ได้ราคามากกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่มีศักยภาพระดับปฏิวัติวงการ บล็อกเชนจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจในเกมเจริญรุ่งเรืองไปเป็นองค์กรที่เติบโตได้ด้วยตนเองและมีความยิ่งใหญ่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ด้วยสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenize ให้อยู่ในรูปของโทเค็นและระบบนิเวศทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบ ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการย้ายเกมไประบบ On-Chain ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ วิดีโอเกมที่ขายดีที่สุดเกือบทั้งหมดมีภาพกราฟิกที่สมจริงเป็นพิเศษ หรือรูปแบบการเล่นที่เข้มข้นจริงจังและมีลักษณะของการแข่งขันอยู่ด้วย แม้ว่าการเคลื่อนย้ายการประมวลผลกราฟิกแบบ Off-Chain จะสามารถให้ภาพกราฟิกแสนสมจริงได้ แต่การจะทำให้ได้รูปแบบการเล่นในลักษณะตามที่ได้กล่าวไปนั้นค่อนข้างที่จะทำได้ยากเลยทีเดียว เมื่อพิจารณาจากสถานะของเทคโนโลยีบล็อกเชนในปัจจุบัน วิดีโอเกมออนไลน์ เช่น Call of Duty หรือ FIFA มักจะต้องโฮสต์ผู้เล่นกว่าหลายแสนคน (สูงสุดถึงหลายล้านคนในช่วงที่ผู้เล่นหนาแน่น) และอำนวยความสะดวกให้เกิดความล่าช้าในการป้อนข้อมูล (Input Delay) ในระดับมิลลิวินาทีเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ดี บล็อกเชนส่วนใหญ่ที่เราเห็นในปัจจุบันได้รับการออกแบบมาเพื่อการถ่ายโอนสินทรัพย์และ Smart Contract ซึ่งเป็นฟังก์ชันการทำงานที่ไม่ต้องการความสามารถในการรับส่งข้อมูล (Throughput) ในระดับสูงเป็นพิเศษหรือ Latency ที่ต่ำแต่อย่างใด แม้กระทั่งบล็อกเชนสุดล้ำสมัยอย่าง “บล็อกเชน Sei” ที่สามารถประมวลผลธุรกรรมหลายพันรายการได้ในเวลาเพียงแค่ 300 มิลลิวินาที ก็ยังถือว่ามีคุณสมบัติต่ำกว่าเกณฑ์ที่วิดีโอเกมเหล่านั้นต้องการอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ต้องกล่าวว่า Sei นั้นได้รับการพัฒนามาให้เหมาะสำหรับเครื่องมือการเทรดและการจับคู่ Order โดยเฉพาะ และไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งนักพัฒนาบล็อกเชนจากการคิดค้นบล็อกเชนเพื่อระบบการเล่นเกมที่เน้นการแข่งขัน หรือแม้แต่เพื่อวิดีโอเกมโดยทั่วไปได้ กล่าวโดยสรุป คือ หากมีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ เกมแบบ On-Chain จะก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่นเดียวกับ Web2 ได้อย่างแน่นอน สถานะของเกมแบบ On-Chain เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมบล็อกเชนโดยรวม เกมแบบ On-Chain ยังมีความกระจัดกระจายโดยมีส่วนร่วมกับบล็อกเชนในระดับที่แตกต่างกันออกไป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาและผู้เผยแพร่เกมที่มีชื่อเสียงหลายรายพยายามเจาะตลาด NFT และ Metaverse ด้วยการ Tokenize ไอเท็มในเกม โดยผู้เล่นจะไม่จำเป็นต้องมี Address คริปโตแต่อย่างใด เพราะในทางเทคนิคแล้ว ความเป็นเจ้าของไอเท็มเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นผ่านเซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ วิธีนี้เองเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการย้ายเกม (หรืออย่างน้อยบางส่วนของเกม) เข้าสู่ระบบ On-Chain แต่ก็ถือเป็นวิธีที่มีความกระจายศูนย์น้อยที่สุดเช่นกัน ความพยายามส่วนใหญ่เหล่านี้ เช่น แพลตฟอร์ม Quartz ที่เป็นดั่ง “หายนะ” ของ Ubisoft ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวิธีการดังกล่าวนั้นถือเป็นเรื่องที่วุ่นวายอย่างมาก ในมุมตรงข้ามอีกด้านหนึ่งของวงการ ก็ยังมีเกมกว่าหลายสิบเกมที่พยายามนำประสบการณ์ทั้งหมดเข้ามาสู่บล็อกเชน เช่น เกม Dark Forest, 0xMonaco และ Curio เป็นต้น เกมเหล่านี้มักมีกราฟิกที่เรียบง่ายและรูปแบบการเล่นเกมแบบผลัดกันเล่นคนละรอบ เนื่องจากข้อจำกัดดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชนยังคงเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เราจึงมั่นใจว่าจะได้เห็นโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนามาให้เหมาะสมสำหรับวิดีโอเกมที่มีการต่อสู้แบบฉับไวและกราฟิกที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ รูปแบบเกม On-Chain ที่แพร่หลายมากที่สุด คือ เกมที่มีข้อมูลตัวตนและสินทรัพย์แบบ On-Chain แต่ใช้การประมวลผลเกมแบบ Off-Chain นั่นเอง โดยเกมแบบ On-Chain ยอดนิยม เช่น Gods Unchained, Axie Infinity และ Illuvium ต่างก็สร้างขึ้นโดยใช้ระบบดังกล่าวด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น เกมจำพวกนี้หลายๆ เกมก็ยังมีมาร์เก็ตเพลสสำหรับการเทรดสินทรัพย์ของตนเอง ไปจนถึงมี DAO ไว้เพื่อการกำกับดูแลเลยทีเดียว ทั้งนี้ สินทรัพย์ดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงส่วนเสริมเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีมูลค่าตลาดและมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนด้วยเช่นเดียวกัน Bitget ให้บริการผู้ใช้มากกว่า 20 ล้านรายจากทั่วโลก โดยเราจะมองหาสินทรัพย์ที่มีคุณภาพอยู่เสมอและมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์เทรดที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้ ไปสัมผัสกับโซน GameFi ของเราวันนี้ พร้อมเทรดโทเค็น GameFi ที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี เพื่อเป็นผู้นำในวงการเกม On-Chain ได้เลย!

Bitget Hot Takes (4 กันยายน - 10 กันยายน)

Bitget Hot Takes คือซีรีส์จดหมายข่าวรายสัปดาห์สุดพิเศษโดย Bitget Academy เป็นคู่มือการเริ่มต้นแบบรอบด้านสำหรับผู้สนใจคริปโตทุกคน สามารถดู Bitget Hot Takes ล่าสุดได้ที่นี่ ธีมหลัก • BGB แสดงโมเมนตัมขาขึ้น • Ark, 21Shares และ VanEck ยื่นขอจด Ethereum Spot ETF ใหม่ • กฎการบัญชีมูลค่ายุติธรรมที่รอคอยมานานสำหรับสินทรัพย์คริปโตได้รับการอนุมัติโดย FASB และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2025 • Grab จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่ม Wallet สำหรับคริปโตและบริการ Web3 อื่นๆ เข้ามาสำหรับชาวสิงคโปร์ • Visa เสนอการชำระราคาเป็น USDC ให้กับ Ethereum และ Solana ส่วน Circle ใช้ USDC บน OP Mainnet และ Base • มณฑลชานตงของจีนเผยแพร่ร่างหลักเกณฑ์สำหรับอุตสาหกรรม Metaverse โดยประเมินมูลค่าอุตสาหกรรมในท้องถิ่นไว้ที่ 2.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025 • Google อนุญาตให้โฆษณาเกม NFT ได้ตราบใดที่ไม่มีเนื้อหาส่งเสริมการพนัน • บัญชี X ของ Vitalik Buterin ถูกแฮ็ก BGB ขึ้นแล้ว! หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดรายสัปดาห์ไปในสัปดาห์ก่อน (28 สิงหาคม - 3 กันยายน) BGB ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเดิมทุกด้านในสัปดาห์นี้ โดยการเปลี่ยนแปลงแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ (WoW) อยู่ที่ 2.5% ซึ่งจุดสูงสุดรายสัปดาห์สูงขึ้น 0.5% จุดต่ำสุดรายสัปดาห์สูงขึ้น 0.4% และปริมาณเพิ่มขึ้น 9.3% เทรนด์โดยรวมเป็นสีเขียว โดยมีเส้น Accum/Dist รองรับมุมมองนี้ นอกจากนี้ ผลตอบแทนที่เป็นบวกของ BGB ก็สูงกว่าคริปโทเคอร์เรนซีหลักอื่นๆ มาก จากการที่ BTC สิ้นสุดสัปดาห์ด้วยการเปลี่ยนแปลง +0.1%, ETH -0.1%, BNB -0.01% และ XRP +1% แน่นอนว่าความผันผวนของ BGB ก็เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงโมเมนตัมขาขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อดูค่าความผันผวนทบต้น 7 วันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า BGB ได้รับการพิสูจน์อย่างต่อเนื่องแล้วว่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่ปลอดภัยอย่างยิ่ง โดยมีความผันผวนน้อยกว่าตัวเลือกอื่นๆ มาก ไม่ว่าจะเป็นคริปโทเคอร์เรนซีเรือธงอย่าง Bitcoin, เจ้าแห่ง Altcoin ทั้งปวงอย่าง Ethereum หรือโทเค็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดตามมูลค่าตามราคาตลาดอย่าง BNB ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพุ่งขึ้น 653% (คำนวณโดยใช้ราคา BGB เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2023) จากราคาที่ออกที่ US$0.0585 เราเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าจะมีอะไรที่น่าประทับใจไปกว่านี้อีกแล้ว ปริมาณที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้สภาพคล่องเพิ่มขึ้นด้วยในทางที่ดี ในสัปดาห์นี้ อัตราส่วนปริมาณต่อมูลค่าตามราคาตลาดทั้งปกติและ 7DMA ของ BGB ครอง 4 อันดับแรกได้ ซึ่งสูงกว่าขั้นต่ำสุดที่ Coinranking ใช้เพื่อกำหนดโทเค็น “ระดับขั้นที่ 1” (First Tier) อยู่ถึง 0.03-30 เท่า สามารถดูผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจรายเดือนของ BGB ได้ในซีรีส์ BGB Sail ของเรา: BGB Sail: ฉบับเดือนกรกฎาคม BGB Sail: ฉบับเดือนมิถุนายน BGB Sail: ฉบับเดือนพฤษภาคม BGB Sail: ฉบับเดือนเมษายน BGB Sail: ฉบับเดือนมีนาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ การสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับการที่สถาบันเข้ามาใช้งาน นอกจากกำหนดเวลาที่ใกล้เข้ามาสำหรับ Bitcoin Spot ETF ในสหรัฐแล้ว เราก็รอการตัดสินใจของ ก.ล.ต. สหรัฐ (SEC) เกี่ยวกับ Ethereum Spot ETF ของ Ark Invest, 21Shares และ VanEck ด้วยเช่นกัน เนื่องจากสถาบัน TradFi เป็นประตูสู่โลกคริปโตโดยตรง การอนุมัติกองทุนเหล่านี้จึงมีผลกระทบอย่างมากต่อราคาคริปโต ดังนั้นคำแนะนำของเราคือให้ระวังความผันผวนในเดือนตุลาคม 2023 และมกราคม 2024 สัญญาณอีกประการหนึ่งสำหรับการผสานคริปโตเข้ากับภูมิทัศน์ทางการเงินทั่วโลกคือการบรรลุกฎการบัญชีสำหรับ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ ของคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการรายงานทางการเงินของสหรัฐอเมริกา (The Financial Accounting Standards Board: FASB) สิ่งนี้จะช่วยให้ขั้นตอนการรายงานทางการเงินทำได้ง่ายขึ้นสำหรับบริษัทที่ถือคริปโต เช่น MicroStrategy หรือ Tesla และเห็นได้ชัดว่าจะช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ลงได้สำหรับผู้เล่นรายใหญ่ที่สนใจ ในเอเชีย การใช้งานคริปโตในกระแสหลักอาจเกิดขึ้นจริงได้เร็วยิ่งขึ้นหลังจากที่ฮ่องกงเปิดให้รายย่อยสามารถเทรดคริปโตได้และซูเปอร์แอปสำหรับทุกสิ่งและทุกวันอย่าง Grab ก็ได้ประกาศสนับสนุนคริปโต ทั้งการจะนำ Wallet สำหรับคริปโตเข้ามาใช้งาน ทั้งการเปิดตัวบริการ Web3 ต่างๆ เช่น คอลเลกชันรางวัล NFT หรือการชำระด้วย NFT ปัจจุบันฟีเจอร์เหล่านี้มีให้บริการสำหรับผู้ใช้แอปชาวสิงคโปร์เท่านั้น เมื่อขยับมาที่มณฑลชานตงของจีน ซึ่งเป็นมณฑลถัดมาของจีนที่วางแนวความทะเยอทะยานต่ออุตสาหกรรม Metaverse ในท้องถิ่น โดยมีขนาดตลาดที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.5 แสนล้านหยวน (2.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือประมาณการว่ามีบริษัท Metaverse 100 แห่ง สิทธิบัตรระหว่างประเทศและในประเทศ 3,000 ใบภายในปี 2025 มูลค่าตามราคาตลาดของทั้งตลาดลดลงเล็กน้อย 0.9% ไปอยู่ที่ US$1,076,190,165,060 และความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวมยังคงอยู่ในระดับความกลัว (Fear) หุ้นคริปโตขยับเล็กน้อย แต่หุ้นเหมืองขุดกลับมีปริมาณร่วงลงเนื่องจากความตื่นเต้นเกี่ยวกับ Bitcoin ETF เริ่มลดลงและตลาดปิดทำการในวันที่ 4 กันยายน (วันแรงงาน) ในสหรัฐอเมริกา หุ้นที่เกี่ยวข้องกับคริปโตซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นมีเพียง Block (SQ) และ PayPal (PYPL) แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลด้านคริปโตและไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ดีเช่นกัน สถานะ SQ โดย UBS ถูกลดระดับลงไปเป็น Neutral และการเติบโตของรายได้ PYPL ลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 ดังนั้นจึงเห็นการเทขาย ข่าวสาร Bitget ล่าสุด Gainer รายวันที่ดีที่สุด 3 คู่คือ KUNCI/USDT (+2,706.1%), DORKL/USDT (+744%) และ YAMA/USDT (+276.3%) โดย YAMA เป็นการลิสต์ครั้งแรกบน Bitget ส่วนรายการลิสต์ครั้งแรกอื่นๆ บน Bitget ที่ติดอันดับ Gainer รายวัน 3 สามอันดับแรก ได้แก่ BITCOINBSC/USDT (+41.5%) และ XRP8/USDT (+50.5%) Bitget Savings ได้ประกาศตัวเลือกที่น่าสนใจ เช่น NVIR Savings (100% APR) ซึ่งทำให้ราคาโทเค็นพุ่งขึ้น 51% เมื่อวันที่ 8 กันยายน สำหรับรอบที่กำลังจะมาถึงของ Bitget Smart Trend จะเปิดให้ Subscribe ในวันพรุ่งนี้ โดยมี APR ที่คาดหวังสูงสุดอยู่ที่เกือบ 100%! และหากคุณไม่ต้องการรอหรือพลาดโอกาสในการรับผลตอบแทนซึ่งมาพร้อมกับข่าวรายวัน สามารถเข้าไปดู Bitget Range Sniper ได้ ซึ่งเปิดให้ Subscribe รายวัน โดยมีระยะเวลาการลงทุนที่ยืดหยุ่น และที่สำคัญที่สุดคือคาดหวังผลตอบแทนได้สูงกว่ามากด้วย APR ขั้นต่ำที่รับประกันในระดับสูง! ตลาด Futures บน Bitget มี OI คริปโตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10.9% และมี OI ของ Bitcoin เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 8.9% ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา สะท้อนถึงสัดส่วนการครองตลาดของ Bitcoin ในตลาด Futures ที่ลดลง 1.8% โดยเฉลี่ย ปริมาณการเทรด Spot บน Bitget เพิ่มขึ้น 13.3% ในขณะที่ตัวเลขของ Futures สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของตลาดที่เบาบางลงเกี่ยวกับ Bitcoin Spot ETF แต่ปริมาณ Spot ก็แสดงให้เห็นถึงความต้องการใน Spot บน Bitget จากปัจจัยภายในของตัวเหรียญเอง ศูนย์รางวัล Bitget อัปเกรดแล้ว! ผู้ใช้ใหม่สามารถรับไปฟรีๆ ได้สูงสุดถึง 5,027 USDT พร้อมรับโบนัสเพิ่มเติมเมื่อเข้าสู่ระบบบัญชีของตนทุกวัน สมัครเลยเพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากแคมเปญโปรโมชันของเรา! อีเวนต์ใหม่ ลองใช้งานพอร์ตการลงทุนแบบอัตโนมัติเพื่อรับส่วนแบ่งจาก Pool รางวัลมูลค่า 30,000 BGB จับรางวัลลุ้นโชคกับ Learn2Earn: ชิง 1,000 USDT และเรียนรู้เนื้อหาซีรีส์ความปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน Witch Token (WITCH) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — มารับส่วนแบ่งจาก 340,000 WITCH กัน NvirWorld (NVIR) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — มารับส่วนแบ่งจาก 280,000 NVIR กัน Shiba V Pepe (SHEPE) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — มารับส่วนแบ่งจาก 396,000,000,000 SHEPE กัน FiatFest: ฝากและเทรดเพื่อรับรางวัลสูงสุดถึง 30,000 USDT! ชวนอ่าน ข้อดีทั้ง 3 ของ Bitget KYC ที่คุณไม่ควรพลาด คู่มือการยืนยันตัวตน KYC บน Bitget ฉบับรวบรัด เหตุใด KYC จึงมีความสำคัญในการชำระเงินด้วย Fiat ปลดปล่อยพลังของคริปโตด้วยฟีเจอร์เฉพาะของ Bitgetยอดเงินคงเหลือ Bitget: ประตูสู่ความสำเร็จในคริปโตแบบทันใจ เหตุใด Bitcoin ETF จาก BlackRock และ Fidelity จึงมีความสำคัญต่อตลาดคริปโต ETF คริปโตคืออะไร คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับ ETF คริปโต เพียงแค่สร้างบัญชี แล้วเริ่มสำรวจ Bitget-Verse ที่น่าทึ่งวันนี้เลย!

BGB Sail: ฉบับเดือนพฤษภาคม

ซีรีส์ BGB Sail เป็นบทวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน BGB เชิงลึก พร้อมสรุปสถานการณ์ในตลาดทุกสิ้นเดือน BGB Sail: ดูฉบับเดือนเมษายนได้ที่นี่ สรุปสถานการณ์ในตลาด สถานการณ์ในเดือนพฤษภาคมดูเหมือนจะเป็นภาคต่อของช่วงพักตัวในเดือนเมษายน โดยมูลค่าตามราคาตลาดทั่วโลกหดตัว 2.6% ไปอยู่ที่ 1,179,097,406,821 ดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2023 (7:00 น. UTC+7) โดยมีเพียง 3 โทเค็นเท่านั้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดเติบโต ได้แก่ USDT (Stablecoin), XRP (โทเค็น L1/Altcoin) และ stETH (Liquid Staking Derivative) ซึ่งนี่เป็นเดือนแรกที่ stETH ติดอันดับคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตามราคาตลาดมากที่สุด 10 อันดับแรก เมื่อดูการเปลี่ยนแปลงมูลค่าตามราคาตลาดของ ETH เทียบกับเดือนที่ผ่านมาจะพบว่าติดลบ แต่ก็แทบไม่มีนัยสำคัญอะไร ในขณะที่ DOGE สูญเสียมูลค่าไปมากกว่า 1 ใน 3 ในช่วง 30 วัน ทำให้ตกอันดับไป 2 อันดับ ส่วนมูลค่าตามราคาตลาดของเหรียญ 4 อันดับแรกนั้นก็ยังคงทิ้งห่างเหรียญอื่นๆ อยู่มาก จนเป็นไปได้ว่าเหรียญ 4 อันดับแรกจะยังคงครองหัวตารางต่อไปได้อีกนาน มาดูผลการดำเนินงานของ 10 อันดับแรกในเดือนพฤษภาคมกัน โปรดทราบว่าเราไม่ได้รวม Stablecoin (Tether และ USD Coin) และ Liquid Staking Derivative (stETH) เข้ามาด้วยเนื่องจากเป็นโทเค็นที่ควรจะต้องมีมูลค่าที่ “เสถียร” จะเห็นได้ว่ามีเพียง XRP เท่านั้นที่มูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจที่ 9.3% ส่วนเหรียญอื่นๆ ทั้งหมดใน 10 อันดับแรก (BTC, ETH, BNB, XRP, ADA, DOGE และ SOL) ต่างก็ติดลบมากน้อยต่างกันไปในเดือนพฤษภาคม โมเมนตัมขาลงนี้อาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนด้านการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทคริปโตต่างๆ รวมถึงปัจจัยด้านเพดานหนี้สหรัฐที่สร้างความตื่นตระหนกลุกลามไปทั่วตลาด อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับดีลเพดานหนี้สหรัฐและผลกระทบต่อตลาดได้ที่นี่: ขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ: แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ในภาพรวมจะเห็นได้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์หลายแห่งมากขึ้นพุ่งเป้าไปที่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต สะท้อนถึงมุมมองของบางภูมิภาคที่มองว่าคริปโตเป็นหลักทรัพย์ สรุปเหตุการณ์สำคัญในเดือนพฤษภาคมมีดังนี้• Bittrex U.S. ยื่นล้มละลายตาม Chapter 11 • Market Maker ชั้นนำ Jane Street และ Jump Crypto ตัดสินใจถอนตัวจากตลาดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตสหรัฐ • Hotbit ประกาศปิดตัว • ก.ล.ต. มาเลเซียสั่งให้ Huobi Global หยุดดำเนินการในประเทศเนื่องจาก “ดำเนินการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างผิดกฎหมาย” • ก.ล.ต. ฟิลิปปินส์ตั้งข้อกล่าวหา Gemini ว่า “เสนอขายและส่งเสริมผลิตภัณฑ์หลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน” • ก.ล.ต. ฮ่องกงเผยแพร่ข้อกำหนดอันเป็นที่สุดสำหรับแพลตฟอร์มเทรดคริปโตว่าด้วยการเทรดคริปโตรายย่อยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2023 และเปิดให้ลงทะเบียนขอใบอนุญาตแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต • ปักกิ่งออก Whitepaper ว่าด้วยนวัตกรรมและการพัฒนา Web3 และมีแผนลงทุน 100 ล้านหยวนทุกปีจนถึงปี 2025 เพื่อพลิกโฉมปักกิ่งให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลกด้านเศรษฐกิจดิจิทัล • นครเจิ้งโจวจัดตั้งกองทุน Metaverse มูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ • รายงาน PayPal ล่าสุดกับ ก.ล.ต. สหรัฐเผยว่าผู้ให้บริการชำระเงินยักษ์ใหญ่มียอดถือครองคริปโต ณ วันที่ 31 มีนาคม 2023 อยู่ที่ 943 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยถือ Bitcoin, Ethereum, Bitcoin Cash และ Litecoin ซึ่งเพิ่มขึ้น 56% จาก 604 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 นอกจากนี้ PayPal ยังเสนอบริการโอนคริปโตให้กับผู้ใช้ Venmo กว่า 60 ล้านคนอีกด้วย ข้อมูลจาก The Block แสดงให้เห็นว่าทั้งตลาด Spot และ Futures มีปริมาณรายเดือนลดลง แม้ปริมาณ Spot จะลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 แต่ปริมาณของ BTC Futures ในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนอนุพันธ์ก็ยังคงสูงกว่าในเดือนมกราคม 2023 เล็กน้อย ที่มา: lars0x ที่มา: lars0x ผลการดำเนินงานของ BGB ในเดือนเมษายน ในเดือนนี้ ผลการดำเนินงานของ BGB เป็นไปได้ดี ตรงข้ามกับโทเค็นส่วนใหญ่ในตลาด โดย BGB ให้ผลตอบแทนดีกว่าเหรียญ 10 อันดับแรกทุกเหรียญและเป็นเพียง 1 ใน 2 โทเค็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ปิดเดือนด้วยสีเขียว BGB ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% MoM โดยเพิ่มขึ้นสูงสุดรายเดือน 6.7% ไปแตะระดับ 0.506853 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อดูข้อมูลจาก CoinGecko จะพบว่ามูลค่าที่เพิ่มขึ้นนี้มาพร้อมกับปริมาณ 30 วันที่เพิ่มขึ้น 51.2% เป็น 482,744,291 ดอลลาร์สหรัฐ ในด้านสภาพคล่อง ปฏิเสธไม่ได้ว่า BGB เป็นโทเค็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด โดยดูได้จากอัตราส่วนปริมาณ/มูลค่าตามราคาตลาด ซึ่งวัดว่าโทเค็นเปลี่ยนมือได้ง่ายเพียงใด จึงใช้เป็นตัวบ่งชี้สภาพคล่องขั้นพื้นฐานได้ แพลตฟอร์มข้อมูลบล็อกเชน Coinranking.com จัดให้โทเค็นที่มีอัตราส่วนปริมาณ/มูลค่าตามราคาตลาดที่ 0.001 ขึ้นไปนั้นเป็นโทเค็น “ชั้น 1” เมื่อดูจาก 8 โทเค็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน พบว่า GT มีอัตราส่วนปริมาณ/มูลค่าตามราคาตลาดเฉลี่ยต่ำสุดในเดือนพฤษภาคมที่ 0.001 เข้ามาเป็นโทเค็น “ชั้น 1” ได้อย่างเฉียดฉิว HT มีค่าสูงสุดที่ 0.027 ในขณะที่ BGB รองลงมาที่ 0.024 อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า HT จะเป็นการลงทุนที่ดีกว่า BGB หากย้อนกลับไปดูกราฟผลการดำเนินงาน MoM จะพบว่าโทเค็นที่เป็น Top Gainer ของเดือนคือ MX (+27.5%) และ BGB (+14%) ในขณะที่ HT สูญเสียมูลค่าไปเกือบ 10% ในเวลาเพียง 31 วัน การวิเคราะห์จากทั้งผลการดำเนินงานด้านราคาและสภาพคล่องบ่งชี้ว่า BGB เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง (สภาพคล่องสูงหมายความว่าราคามีเสถียรภาพมากขึ้น) ดังที่ได้กล่าวมา จึงเห็นได้ชัดเจนว่า BGB ได้เลื่อนอันดับขึ้นในการจัดอันดับโทเค็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน โดยทิ้งห่าง HT และ MX ออกไป เพิ่งรู้จัก BGB และ Bitget ใช่ไหม ลองเข้ามาดูนี่เลย: ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Bitget Token (BGB) หากสงสัยว่าความสำเร็จนี้มีที่มาจากอะไร… ประการแรก การเป็นเจ้าของ BGB หมายความว่าคุณจะได้สิทธิประโยชน์จากการขยายตัวของระบบนิเวศ Bitget ที่กำลังเติบโต Bitget เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแห่งแรกที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Copy Trading สำหรับคริปโตในปี 2020 โดยเป็นผลิตภัณฑ์ล้ำนวัตกรรมตัวแรกที่ได้เปิดตัวไป จากนั้นก็ตามมาด้วยการออกผลิตภัณฑ์ล้ำๆ อีกมากมายตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ยิ่ง Bitget ดำเนินงานได้ดีเท่าใด การลงทุนใน BGB ก็จะยิ่งทำกำไรได้มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ BGB ยังเป็นเสมือนตั๋วเข้าร่วมกิจกรรมมากมายในหลากหลายผลิตภัณฑ์บน Bitget ไม่ว่าจะเป็น Bitget Launchpad (ถือ BGB เพื่อรับสิทธิ์เข้าถึง IEO สุดพิเศษที่หลายคนต่างตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ), Bitget Launchpool (Stake BGB เพื่อรับโทเค็นจากโปรเจกต์ใหม่ๆ อนาคตไกลไปแบบฟรีๆ), Bitget PowerLotto (ถือ BGB เพื่อชิงรางวัลเป็น BGB ทุกวัน), BGB Earn (รับ BGB ได้มากขึ้นจากยอดถือครองปัจจุบันของคุณและ/หรือคว้าโอกาสซื้อ BGB ในราคาส่วนลด), โปรแกรม VIP, GroupCoin (ถือ BGB เพื่อรับโอกาสซื้อคริปโตเหรียญเด่นในราคาพิเศษ) และโหวตเพื่อลิสต์ (ถือ BGB เพื่อตัดสินใจว่าโปรเจกต์จะได้รับการลิสต์บนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนหรือไม่ แล้วรับรางวัลสำหรับการเข้าร่วม) IEO บน Bitget Launchpad ในเดือนพฤษภาคมดึงดูดผู้เข้าร่วมได้ 19,263 รายซึ่งลง BGB รวมกันไปทั้งสิ้น 123,037,455 BGB เพื่อชิงโอกาสในการซื้อ Bitcoin Improvement Proposals 1 (BIP1) และชิงความได้เปรียบจากการเข้าตลาดเป็นคนแรกๆ รวมถึงคว้าโอกาสในการทำ Arbitrage จากการที่ Bitget เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแห่งแรกที่เปิดให้เทรด BIP1 โดย ณ จุด All Time High มูลค่าของ BIP1 ขึ้นไปเกือบ 4 เท่าเมื่อเทียบกับราคา IEO ซึ่งหมายถึง ROI เกิน 300% Pool ที่ได้รับความนิยมในการฟาร์มที่สุดบน Bitget Launchpool มีการ Stake ถึง 30,485,728 BGB (ราว 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การที่ทุก Pool มี APR ที่ 69% ขึ้นไปทำให้ความต้องการ BGB พุ่งสูงขึ้น ทุกคนจึงไม่อยากพลาดโอกาสเหล่านี้ไป ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน เราได้จัด Bitget Launchpool เสร็จสิ้นไปแล้วด้วยกัน 3 รอบ รอบละ 2 Pool (Stake ปกติกับแนะนำเพื่อนแล้วรับผลตอบแทน) ขณะนี้เรากำลังจัดรอบใหม่ 2 รอบสำหรับ 3TH และ BHAT โทเค็นรางวัลที่คัดสรรมาอย่างดีทำให้การฟาร์มมีกำไรจุใจมากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการ BGB มากยิ่งขึ้น กล่าวโดยสรุปคือ BGB สร้างความประทับใจได้เสมอมา ดูรายละเอียดผลการดำเนินงานของ BGB เพิ่มเติมได้ในฉบับที่ผ่านๆ มาของเรา BGB Sail: ฉบับเดือนเมษายน 23 BGB Sail: ฉบับเดือนมีนาคม 23 BGB Sail: ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 23 BGB Sail: ฉบับเดือนธันวาคม 22 BGB Sail: ฉบับเดือนพฤศจิกายน 22 BGB Sail: ฉบับเดือนตุลาคม 22 Bitget-Verse ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของแพลตฟอร์ม Bitget เป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตของ BGB การเป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไปและความพึงพอใจของลูกค้ากระตุ้นให้เราทำงานอย่างไม่หยุดยั้งในการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อมอบที่สุดแห่งประสบการณ์คริปโตให้กับผู้ใช้ทั่วโลก กิจกรรม Spot และ Futures แม้ว่าเซกเตอร์ CEX ในวงกว้างต้องเผชิญปัญหาปริมาณที่ลดลงในเดือนพฤษภาคม แต่ผู้ใช้ Bitget ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ไม่สั่นคลอน จำนวนสัญญาคงค้างเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 3.8% โดย Bitcoin มี Open Interest เฉลี่ยรายวันเพิ่มขึ้น 5.2% ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่น่าสนใจใน Bitget Futures เดือนพฤษภาคมคือการปรับเลเวอเรจสำหรับ XRPUSDT Futures (ไปเป็น 125X) และการเพิ่มคู่เทรดใหม่ 21 คู่ • BSVUSDT • KEYUSDT • IDEXUSDT • ORDIUSDT • PHBUSDT • TONUSDT • GTCUSDT • DENTUSDT • ZENUSDT • 10000LADYSUSDT • STMXUSDT • CTKUSDT • IOTXUSDT • UMAUSDT • AIDOGEUSDT • PEPEUSDT • SPELLUSDT • CELRUSDT • FLOKIUSDT • EDUUSDT • SUIUSDT ปริมาณทั้งหมดของการเทรด Spot บน Bitget ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 22.9% เป็น 5,370,388,809 ดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่มาจากอีเวนต์การลิสต์ครั้งแรกของสินทรัพย์หลายตัวที่เป็นที่ต้องการ • DEG/USDT • SUI/USDT (5X) • OGGY/USDT • WSB/USDT • CLIPS/USDT • RIBBIT/USDT • BIP1/USDT • PROPC/USDT รับผลตอบแทนกับ Bitget เราออกผลิตภัณฑ์การลงทุนหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องบน Bitget โดยล่าสุดคือผลิตภัณฑ์ Bitget Range Sniper ผลิตภัณฑ์นี้ให้ APR พื้นฐานอยู่ที่ 20% แต่หากคุณคาดการณ์ตลาดได้ถูกต้อง Bitget Range Sniper ก็ให้คุณเพิ่มขึ้นได้ถึง 500% ตัวเลขที่น่าประทับใจเช่นนี้ทำให้ Bitget Range Sniper เป็นที่พูดถึงกันในหมู่นักลงทุนจำนวนมาก Bitget Range Sniper แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ Earn อื่นๆ ตรงที่มีความยืดหยุ่นในการจ่ายสินทรัพย์ให้ผู้ใช้ โดยหากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ ระบบจะจ่ายให้คุณเป็น Bitcoin หรือ Ethereum ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากคุณสามารถถือครองสินทรัพย์เหล่านี้และขายทำกำไรได้เมื่อราคาสูงขึ้น แต่หากตลาดเคลื่อนไหวไปตามที่คาดไว้ ระบบก็จะจ่ายผลกำไรให้คุณทันทีเป็น USDT ไม่ว่าจะแบบไหนก็มีแต่ได้กับได้! Bitget Smart Trend ช่วยให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถเล่นไปกับเทรนด์ตลาดได้ โดย Bitget Smart Trend เป็นผลิตภัณฑ์ที่คุ้มครองเงินต้น หมายความว่านักลงทุนมีโอกาสที่จะวางเดิมพันราคา BTC หรือ ETH ใน 7 วันข้างหน้าได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะขาดทุนเมื่อมีการชำระราคา คุณสามารถ Subscribe ผลิตภัณฑ์ Bitget Smart Trend ด้วย BTC, ETH หรือ USDT ได้ โดยที่ระบบจะแจกจ่ายผลตอบแทนให้เป็นสินทรัพย์ที่คุณใช้ Subscribe แม้ว่าจะยังไม่เห็นตัวเลขสูงสุดกัน แต่การลงทุน Bearish ETH ล่าสุดใน Smart Trend ก็ให้ APR สูงสุดถึง 70-90% ที่มา: Bitget Smart Trend Bitget Dual Investment ใช้ประโยชน์เต็มที่จากกลยุทธ์ “ซื้อต่ำ ขายสูง” ออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนระยะยาวมีผลตอบแทนได้ถึง 2 ทาง ในสถานการณ์ “ซื้อต่ำ / Buy Low” ผู้ที่เป็น Subscriber จะได้รับดอกเบี้ยเป็นคริปโตที่ Subscribe ไว้ รวมถึงจะได้สิทธิ์ซื้อด้วยหากราคา ณ ช่วงสิ้นสุดระยะเวลา Subscription นั้นเท่ากับหรือต่ำกว่าที่คาดไว้ หากราคาของคริปโทเคอร์เรนซีนั้นสูงขึ้นไปกว่าราคาที่คาดไว้ ผู้ใช้จะไม่สามารถซื้อคริปโตได้ ส่วนดอกเบี้ยก็จะคำนวณเป็น Stablecoin แทน ในสถานการณ์ “ขายสูง / Sell High” ผู้ที่เป็น Subscriber จะได้รับดอกเบี้ยเป็น Stablecoin และขายคริปโตที่ถือครอง ณ ราคาที่ดีกว่าในอนาคตได้ หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดไว้ ณ ช่วงสิ้นสุดระยะเวลา Subscription ผู้ใช้จะไม่สามารถขายคริปโตได้ ส่วนดอกเบี้ยจะคำนวณเป็นคริปโตที่ Subscribe ไว้แทน โดยสรุปคือ ผู้ใช้จะได้รับยอดถือครองเดิมของตนพร้อมดอกเบี้ย แม้ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ เมื่อวางแผนการลงทุนคริปโตระยะยาว คุณเลือกได้ว่าจะถือ Stablecoin ไว้นิ่งๆ จนกว่า Limit Order จะได้รับการดำเนินการ หรือจะเอาไปลงใน Bitget Dual Investment เพื่อทำกำไรเพิ่มจากสินทรัพย์ที่ถืออยู่นิ่งๆ ก็ได้เช่นกัน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์การลงทุนดั้งเดิมของเรา Bitget Shark Fin ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอนุพันธ์แฝงแบบรับประกันเงินต้นนั้น มีให้เข้าร่วม 12 รอบในเดือนพฤษภาคม โดย Shark Fin ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับ BTC จากการฝาก BTC, รับ BTC จากการฝาก USDT, รับ ETH จากการฝาก ETH หรือ รับ ETH จากการฝาก USDT ได้ ผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 รายการสิ้นสุดในสถานการณ์ที่มี APR สูงขึ้น ทำให้ผู้ที่เป็น Subscriber ได้รับผลตอบแทนมหาศาล ที่มา: Bitget Shark Fin เสน่ห์ของ Bitget Earn นั้นไม่อาจต้านทานได้ ในเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียว ผู้ใช้ Subscribe ผลิตภัณฑ์ Earn ต่างๆ ด้วยสินทรัพย์มูลค่าถึง 10.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Bitget Shark Fin เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ทั้งจากจำนวนที่ลง Subscribe และจำนวนผู้ที่เป็น Subscriber ทั้งหมด ตัวเลือกที่ได้รับความนิยมรองลงมาคือ Bitget Dual Investment ในขณะที่ Bitget Smart Trend ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชอบทำ Yield Farming สามารถดูคู่มือฉบับเต็มเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ที่นี่: Bitget Range Sniper | Bitget Shark Fin | Bitget Dual Investment | Bitget Smart Trend Learn and Earn ไปกับ Bitget Academy เราเชื่อในพลังของการให้ความรู้เรื่องคริปโต ในปี 2023 เราได้เผยแพร่บทความให้ความรู้มากกว่า 500 บทความใน 20 ภาษา ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่คู่มือเชิงลึก เคล็ดลับที่ทำได้จริง ไปจนถึงข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับตลาด นอกจากนี้เรายังจัดอีเวนต์ Learn and Earn อยู่เป็นประจำในช่องทางโซเชียลมีเดียของเราเพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีความเข้าใจในแนวคิดคริปโตต่างๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้ผู้ใช้เข้ามาทดสอบความรู้และรับรางวัลที่น่าสนใจติดมือกลับไปมากมาย! สามารถเข้าไปดู Learn and Earn รอบที่กำลังดำเนินอยู่ได้ที่นี่: Twitter ของ Bitget Academy | Instagram ของ Bitget Academy อวดให้เราดูได้เลยว่าคุณมีความรู้ด้านคริปโตลึกซึ้งแค่ไหน! โปรโมชันเด็ดๆ รอให้คุณมาเข้าร่วมอยู่เพียบ การแข่งขัน Futures: ชิง Rolex และรับส่วนแบ่งจาก 100,000 USDT! รางวัลสำหรับ Early Bird และรางวัลสำหรับผู้ใช้ใหม่รอคุณอยู่! รับแสงอาทิตย์ไปกับวงล้อลุ้นโชค: หมุนชิงรางวัล $10,000 สำหรับทริปตะลุยเกาะหน้าร้อน ชิงส่วนแบ่งสูงสุด 30,000 USDT! นักเทรดใหม่รับโบนัสการเทรดได้ถึง 55 USDT! สิ่งที่ดีมักมาที 2 อย่าง! รับส่วนแบ่งจาก 100,000 USDT! ฝากหรือซื้อคริปโตกับปาร์ตี้ฉลองครึ่งปีกันเลย! รับสิทธิประโยชน์ในสัปดาห์ทดลอง Copy Trading! ผู้ใช้ใหม่เท่านั้น — รับความคุ้มครองการขาดทุนจาก Safety Pool 30,000 USDT สำหรับการเทรดด้วยบอท! เป็น Bitget Strategist รับส่วนแบ่งจาก 20,000 USDT รับสูงสุดถึง 15% Cashback จากการฝาก ปลดล็อกสิทธิพิเศษ VIP และสินค้ารุ่น Limited Edition! Assist2Earn มาแล้ว! เชิญเพื่อนใช้ Earn รับเงินคืน 20%! Bitget จะลิสต์ BHNetwork (BHAT) ในโซนนวัตกรรม Bitget จะลิสต์ Scallop (SCLP) ในโซนนวัตกรรม Ethos (3TH) Savings เปิดแล้ว, Subscribe เลย APR สูงสุดถึง 100%! Sphere (SXS) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — รับส่วนแบ่งจาก 800,000 SXS กันได้เลย GPT Guru (GPTG) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — รับส่วนแบ่งจาก 2,000,000 GPTG กันได้เลย TENET (TENET) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — รับส่วนแบ่งจาก 145,000 TENET กันได้เลย Abyss World (AWT) Savings เปิดแล้ว, Subscribe เลย APR สูงสุดถึง 200%! เพียงแค่สร้างบัญชี แล้วเริ่มสำรวจ Bitget-Verse ที่น่าทึ่งวันนี้เลย!

ขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ — แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

สรุปใจความสำคัญ • การขยายเพดานหนี้ไม่ได้มีอิทธิพลต่อตลาดทุนมากเท่าไรนัก • สภาพคล่องที่ลดน้อยลงและทัศนคติของหน่วยงานกำกับดูแลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคริปโต ส่งผลให้สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะล้าหลังในด้านเทคโนโลยีและการเมือง • ฮ่องกงและยูโรโซน (Eurozone) คือ ผู้นำในกลุ่มประเทศที่กำลังแข่งขันเพื่อเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลกที่มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม นโยบายการเงิน: มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) และนโยบายการเงินแบบหดตัว (Quantitative Tightening: QT) ก่อนที่จะเข้าเรื่องหลัก เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจคำว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) และนโยบายการเงินแบบหดตัว (Quantitative Tightening: QT) กันก่อน เพราะบทความต่อไปนี้เขียนขี้นโดยอิงจากพื้นฐานของนโยบายการเงินดังกล่าวเป็นหลัก อย่างที่เราทราบกันว่า ธนาคารกลางมีหน้าที่รักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับปกติที่ 2% ดังนั้น ทุกๆ ครั้งที่ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น ธนาคารกลางจะใช้นโยบาย QE หรือ QT เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในระบบขึ้นนั่นเอง “คริปโต” ที่เพิ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาดการเงินโลก ก็ตอบสนองต่อนโยบายเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน โดยความต้องการของนักลงทุนจะเปลี่ยนไปตามการปรับปริมาณเงินในระบบ กล่าวคือ หากนักลงทุนเห็นว่าการเข้าถึงเงินสำรองถูกจำกัด พวกเขาอาจลดปริมาณการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงในพอร์ตของตน เพื่อลดโอกาสเกิดการขาดทุน และในทำนองเดียวกัน หากนักลงทุนสามารถเข้าถึงเงินสำรองได้มากขึ้น พวกเขาก็จะกล้าลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน สถานการณ์แรกซึ่งเรียกว่า “QT” จะเกิดขึ้นเมื่อธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ยและขจัดสภาพคล่องออกจากตลาด อีกสถานการณ์ที่ตรงข้ามกับ QT คือ “QE” ซึ่งการใช้นโยบาย QE ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Federal Reserve: FED) ใช้นโยบายนี้หลังจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (The Great Recession) โดย FED คงระดับอัตราดอกเบี้ย (The Federal-Funds Rate) ไว้ต่ำกว่า 2% ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2008 จนถึงกันยายน 2018 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย (หรือ การบริโภค) ในระบบ ส่วนในยูโรโซน อัตราดอกเบี้ย 0% เริ่มต้นโดย Mario Draghi อดีตหัวหน้าธนาคารกลางยุโรป ( European Central Bank: ECB) ในปี 2016 เพื่อตอบสนองต่อภาวะเงินฝืดของกลุ่มประเทศในยูโรโซน งบดุลและสภาพคล่องของ FED จากข้อมูลของ Google Trends ระบุว่า จำนวนการค้นหาคำว่า 'Debt Ceiling' และ 'Debt Limit' (หมายความถึง “เพดานหนี้”) ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม 2023 อยู่ที่ 58 ครั้งต่อวันโดยเฉลี่ย ซึ่งถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับระดับการเปิดรับสื่อของผู้คนในปัจจุบัน แนวคิดที่ว่าสหรัฐฯ อาจผิดนัดชำระหนี้ได้ อาจฟังดูน่าสนใจอย่างน่าประหลาด แต่ผลที่ตามมานั้นกลับน่ากลัวและส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งโลกได้ จนถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่า มีโอกาสค่อนข้างต่ำที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้ ในปัจจุบัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร (House Speaker) และประธานาธิบดี (President) จับมือกันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น FUD ที่เกิดขึ้น — ความกลัว ความลังเล และความสงสัย — จึงหายไปในที่สุด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังระยะสั้นลดลงอย่างมาก (ดูกราฟด้านล่าง) หมายความว่านักลงทุนเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในการลงทุนกับตราสารหนี้มากขึ้น ตลาดหุ้นต่างยินดีกับ “การดำเนินการอย่างเป็นทางการ” ของข้อตกลงข้างต้น เนื่องจากดัชนี SP 500 พุ่งขึ้น 2.48% (เมื่อปิดตลาดในวันที่ 6 มิถุนายน 2023) จาก 4,179.83 ในวันที่ 31 พฤษภาคม และดัชนี NASDAQ Composite เพิ่มสูงขึ้นเป็น 13,276.42 (+2.64% ) ในขณะที่ Bitcoin สูญเสียมูลค่าไป 0.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน การขยายเพดานหนี้ของประเทศเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แม้ว่าเราจะโชคดีที่ไม่ต้องพบกับจุดจบทางการเงิน แต่ผลที่ตามมาในระยะยาวต่อตลาดทุนก็ยังต้องได้รับการพิจารณาอยู่เช่นเดิม ตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา เพดานหนี้ของสหรัฐฯ ได้ถูก “เพิ่มอย่างถาวร ขยายชั่วคราว หรือปรับใหม่” ถึง 78 ครั้ง ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของอำนาจการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2023 มูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดของ FED อยู่ที่ 8,385,854 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบสองเท่าของมูลค่าสินทรัพย์ในช่วงก่อนโควิด (มีนาคม 2020) การขยายเพดานหนี้ของประเทศสามารถบ่งชี้ได้ว่า FED มีแนวโน้มที่จะลดงบดุลของประเทศต่อไป และ QT จะดำเนินต่อไป โดย 1 ใน 3 ของผู้เข้าร่วมในตลาดคาดการณ์ว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกไตรมาสหนึ่งในเดือนมิถุนายน 2023 ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องของตลาดลดลงอีก อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากข้อมูลในสื่อและการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญแล้ว เราก็ยังต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายในการดำเนินนโยบายทางการเงิน 2 ประการของ FED (Dual Mandate) คือ “เสถียรภาพของราคา (Stable Stability) และระดับการจ้างงานเต็มที่ (Maximum Exployment)” ด้วยเช่นกัน นี่คือบทสรุปของการบริโภคและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มเฟส QT ใหม่ในเดือนเมษายน 2022 พบว่าอัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่ “แม่นยำกว่า” ที่เรียกว่า “Core CPI” หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน) ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญใด ทำให้สถานการณ์การจ้างงานยังคงเป็นไปในเชิงบวก และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบถัดไปมีความสมเหตุสมผล คริปโตถือเป็นหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าวิกฤติสินเชื่อตึงตัว (Credit Crunch) อาจไม่ร้ายแรงเท่าไรสำหรับตลาดคริปโต แต่ทัศนคติอันไม่เป็นมิตรของทางการสหรัฐฯ ที่มีต่อคริปโตก็ยังทำให้อุตสาหกรรมนี้ได้รับความเสี่ยงและผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่อยู่ดี ประการแรก คือ ดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar) เป็นสกุลเงิน Fiat ที่มีการเทรดกับคริปโตมากที่สุด และมูลค่าตามราคาตลาดของ Stablecoin ที่ตรึงไว้กับ USD นั้นก็ไม่อาจทำลายลงได้ นอกจากนี้ ความยุ่งยากในการใช้งาน On-/Off Ramp ก็ยังส่งผลต่อการนำคริปโตไปใช้งานในวงกว้าง รวมถึงปัญหาต่อระบบนิเวศของคริปโตสตาร์ทอัพ ซึ่งกำลังถูกจับตามองอย่างเข้มงวดในสหรัฐอเมริกา หาก Coinbase ยอมแพ้ในการต่อสู้กับข้อกล่าวหาด้านกฎระเบียบที่กำลังดำเนินอยู่ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2023 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้อง Binance, Binance.US และ Changpeng Zhao CEO ของ Binance แน่นอนว่าข่าวนี้หมายถึง “ช่วงราคาร่วง” สำหรับคริปโต แต่เนื่องจากขนาดของ Binance.US นั้นเล็กกว่า Binance เป็นอย่างมาก เราจึงเชื่อว่าคริปโตจะยังคงอยู่รอดต่อไปได้แม้ไม่มี Binance เช่นเดียวกับหลังจากเหตุการณ์ที่ Mt. Gox โดนแฮ็ก ยิ่งไปกว่านั้น ก.ล.ต. ได้กำหนดให้โทเค็นอย่างน้อย 10 รายการเป็นหลักทรัพย์: SOL, ADA, MATIC, FIL, ATOM, SAND, MANA, ALGO, AXS และ COTI และการยื่นฟ้อง Coinbase ด้วยข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับ “การเสนอขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ลงทะเบียน” ผ่านโปรแกรมการ Stake และ “การดำเนินธุรกิจในฐานะโบรกเกอร์โดยที่ไม่ได้ลงทะเบียน” สำหรับ Coinbase Wallet— ตามคำนิยามของ Non-Custodial Wallet หาก Coinbase เลือกที่จะยุติคดีโดยไม่มีการโต้แย้งกลับ เหตุการณ์นี้ก็จะกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าหวั่นใจสำหรับคดีใดๆ ในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับคริปโต ยังมีโอกาสให้แก้ต่างอีกมากสำหรับคริปโต สหรัฐฯ อาจใช้แนวทางที่รุนแรงเพื่อจัดการกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคริปโต แต่ประเทศและภูมิภาคอื่นๆ กลับอ้าแขน รับคริปโตเป็นอย่างมากเลยทีเดียว หากยุคบ้านป่าเมืองเถื่อนสิ้นสุดลง ก็เท่ากับโอกาสในการปกป้องผู้ใช้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมส่งเสริมโลกดิจิทัลทั้งหมดอย่างเป็นทางการเพื่อการทดลองและเติบโตอย่างยั่งยืน เอเชีย เทคโนโลยีบล็อกเชนคือแกนหลักของคริปโต และการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่การท่องเที่ยว, ความบันเทิง, การศึกษา, การกีฬา, โซเชียลมีเดีย และการดูแลสุขภาพ ไปจนถึงการเงินและความเป็นส่วนตัว ดังนั้น หลายประเทศและภูมิภาค เช่น สหราชอาณาจักร ฮ่องกง และสิงคโปร์ จึงวางตำแหน่งตัวเองเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลกแห่งใหม่ อย่างไรก็ดี ประเทศที่ทำให้เรามองเห็นถึงความทะเยอทะยานอันแรงกล้าในการเป็นบ้านหลังใหม่สำหรับบริษัทคริปโต คือ “ฮ่องกง” ซึ่งได้เปิดตัวใบอนุญาตสำหรับผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือน (VASPs) ก่อนที่จะอนุญาตให้ผู้ใช้รายย่อยเข้าถึงการเทรดคริปโตได้ไปเมื่อไม่นานนี้ นอกจากนั้น ฮ่องกงยังได้เลือก Ripple เพื่อเปิดตัวนำร่องสำหรับ e-HKD ด้วยเช่นกัน ย้อนกลับไปในช่วงสุดท้ายของปี 2022 คริปโต ETF รายการแรกในภูมิภาคเอเชียได้เปิดตัวขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และในเดือนเมษายน 2023 สำนักงานเลขาธิการการเงินฮ่องกง (Hong Kong Financial Secretary Office) ก็ได้ประกาศให้เงินช่วยเหลือ 500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงแก่ Cyberport เพื่อสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศ Web3 ในฮ่องกงอีกด้วย ในทางกลับกัน แผนของสิงคโปร์คือการมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจองค์กรและสถาบันคริปโตมากกว่าผู้ใช้รายย่อย นอกจากนี้ “DBS” ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ของสินทรัพย์ ก็ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับการเทรด DDEx ของผู้ใช้คริปโตระดับสถาบันไปในเดือนธันวาคม 2020 สินทรัพย์คริปโต 6 รายการที่มีให้เทรดที่นี่ ได้แก่ BTC, ETH, XRP, BCH, DOT และ ADA หลังจากนั้น 1 ปี ธนาคารดังกล่าวได้เข้าสู่ Metaverse ผ่านการจับมือเป็นพันธมิตรกับ The Sandbox ในปัจจุบัน รัสเซียเป็นประเทศที่มีการขุดคริปโตที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งรัสเซียต้องการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้ โดยใช้งานคริปโตในข้อตกลงสำหรับการส่งออกและนำเข้า หากข้อตกลงและการเรียกเก็บเงินนั้นเป็นไปตามกฎหมาย ก็จะส่งผลต่อความต้องการคริปโทเคอร์เรนซีแบบ PoW โดยเฉพาะ Bitcoin และทำให้ราคาสินทรัพย์เหล่านั้นสูงขึ้น ยูโรโซนและสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2023 รัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้ผ่านร่างกฎหมาย “Markets in Crypto-Assets (MiCA)” ซึ่งจะมีผลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 ประเด็นหลักของ MiCA นั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการผู้ให้บริการสินทรัพย์คริปโต (CASPs) ซึ่งรวมถึงบริษัทที่ให้บริการคริปโตและผลิตภัณฑ์คริปโตด้านต่างๆ ทั้งหมด แม้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นผู้ออกโทเค็นก็ตาม อีกทั้งยังมีกฎสำหรับ Stablecoin ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมีไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดและล้มเหลวของอุตสาหกรรม เช่น การล่มสลายของ Terra (LUNA) อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์หลายคนกลับให้ความเห็นว่า กฎเหล่านี้อาจไปยับยั้งการเติบโตของสกุลเงินที่ไม่ใช่ของรัฐบาลได้ และอีกประเด็นที่สำคัญ คือ MiCA ไม่ได้มีกฎครอบคลุมถึง NFTs และการกู้ยืมคริปโตแต่อย่างใด สกุลเงินอ้างอิงที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 สำหรับ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับเงิน Fiat คือ สกุลเงินยูโร (Euro) ภายใน 5 เดือนแรกของปี 2023 อุปทานหมุนเวียนของ USDT (TetherUSD) เพิ่มขึ้น 25.6%, EURT (TetherEuro) 0.2% และ EUROC (CircleEuro) 93.6% ในขณะเดียวกัน อุปทาน USDC (CircleUSD) กลับลดลง 34.9% มูลค่าตามราคาตลาดของ USDT และ USDC รวมกันนั้นเพิ่มขึ้น 1.2% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่ามูลค่าตามราคาตลาดที่สูงขึ้นของ EURT รวมกับ EUROC ซึ่งอยู่ที่ 10.8% นอกจากนี้ ปริมาณของ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินยูโรยังแสดงแนวโน้มขาขึ้นให้เห็นอีกด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 HM Treasury ได้เผยแพร่ข้อเสนอสำหรับการกำกับดูแลคริปโตและการขอคำปรึกษา ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเปิดรับคริปโตของนายกรัฐมนตรี Rishi Sunak เพื่อให้สหราชอาณาจักรเป็นส่วนหนึ่งในแวดวงคริปโต โดยเป็นก้าวสำคัญที่ต่อเนื่องมาจาก “Edinburgh Reform” ที่ให้ความสำคัญกับ Fintech และนวัตกรรม เรามาพิจารณาสภาพแวดล้อมระดับมหภาคของภูมิภาคเหล่านี้กันสักครู่ ด้านล่างคือกราฟที่แสดงอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนและสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ ECB เริ่มใช้ QT ในเดือนเมษายน 2022 อัตราเงินเฟ้อในสหภาพยุโรป (HICP) ได้ลดลงเหลือเพียง 2% ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (The Bank of England: BoE) ยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งส่งผลให้เส้นอัตราเงินเฟ้อ (CPIH) ใกล้เคียงกับของสหภาพยุโรป แต่มีความลาดเอียงลงน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เราอาจคาดการณ์ได้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก BoE นั้นจะยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม ECB จะต้องคำนวณกระบวนการ QT ใหม่อีกครั้งหลังจากมีเศรษฐกิจถดถอยลงในช่วง 2 ไตรมาส ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ความพยายามสร้างกรอบการกำกับดูแลที่มีความครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิมของสหภาพยุโรปและหน่วยงานของสหราชอาณาจักรนั้นย่อมทำให้ตลาดคริปโตมีความคึกคักมากขึ้นในพื้นที่เหล่านี้ได้อย่างแน่นอน CBDC และสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenized สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC) เป็นเทรนด์ที่พวกเราทุกคนต้องพบเจอ ประเทศกว่า 114 ประเทศกำลังเริ่มใช้ CBDC โดยประเทศจีนเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในช่วงเริ่มต้นมากที่สุด เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2023 Ripple ได้ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ “Ripple CBDC” ซึ่งเป็น “โซลูชัน” ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อการชำระราคาและชำระเงินในทันทีผ่านการใช้ CBDC และแน่นอนว่าจะมีผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มมากขึ้นในอนาคต เราได้เห็นความคืบหน้าเมื่อ CBDC ได้เปิดประตูสู่โลกของสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenized ซึ่งเป็นไปตามการกำกับดูแล เช่น ตราสารหนี้ หลักทรัพย์ และการจำนอง ส่วนภารกิจของ DeFi คือการสร้างนวัตกรรม (เช่น Liquid Staking Derivative) และพัฒนาระบบการเงินแบบดั้งเดิมด้วยการทำธุรกรรมแบบไม่ต้องอาศัยการอนุญาต (Permissionless) และไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trustless) ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ดั้งเดิมต่างๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย CBDC คริปโตลอยตัวเหนือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น Bitcoin เกิดขึ้นในฐานะ “เงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer” และจะยังคงเป็นกลางไปตลอด (นั่นคือถ้า Satoshi Nakamoto ไม่ปรากฏตัวอีกเลย) นอกเหนือจากการเก็งกำไรที่ในปริมาณมากและแนวทางการใช้ประโยชน์จาก “Degen” แล้ว Bitcoin ก็ยังคงเป็นที่เก็บรักษามูลค่าที่เป็นกลางและไร้ความเสี่ยงของโลก — ไม่มีการผลิตอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความเสี่ยงของการผิดนัดชำระ ไม่มีการจัดการที่เป็นอันตราย เมื่อรวมกับพลังของ Smart Contract แล้ว Bitcoin จะถูกใช้งานอย่างเต็มที่เพื่อขจัดความเสี่ยงเชิงระบบที่มาพร้อมกับการพึ่งพาสกุลเงิน Fiat มากเกินไปและสร้างโลกที่มีความกระจายศูนย์อย่างแท้จริง ในระหว่างนี้ เราสามารถทำตามคำแนะนำของ Jim Cramer และทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามได้ ก็คือ ลงทุนในเทคโนโลยีและ AI (เรารู้ว่ามี Inverse Cramer ETF) แต่อย่าปฏิเสธ “เจ้าพวกแมวตัวใดตัวหนึ่งหรือแมวทั้งหมดเลยน่าจะดีกว่า!” แหล่งที่มา: Twitter ของ Jim Cramer ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

Bitget Hot Takes (22 พฤษภาคม - 28 พฤษภาคม)

Bitget Hot Takes คือซีรีส์จดหมายข่าวรายสัปดาห์สุดพิเศษโดย Bitget Academy เป็นคู่มือการเริ่มต้นแบบรอบด้านสำหรับผู้สนใจคริปโตทุกคน สามารถดู Bitget Hot Takes ล่าสุดได้ที่นี่ ธีมหลัก • อินดิเคเตอร์ชี้ว่า BGB ส่งสัญญาณ Bullish • เป็นไปได้สูงว่าน่าจะมีการขยายเพดานหนี้สหรัฐ โดยดีลนั้น “พร้อมสำหรับการลงคะแนนเสียงของสภาคองเกรส” • จะเปิดให้พลเมืองฮ่องกงเทรดคริปโตสำหรับรายย่อยได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2023 • นครเจิ้งโจวจัดตั้งกองทุน Metaverse มูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ • ปริมาณยอดขาย Bitcoin NFT พุ่งทะยานในเดือนพฤษภาคม เป็นรองเพียงแค่ Ethereum BGB ส่งสัญญาณ Bullish แม้ความต้องการ BGB จะปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยจุดสูงสุดของสัปดาห์ลดลง 0.8% และจุดต่ำสุดของสัปดาห์ลดลง 4.2% แต่ปริมาณของ BGB ยังคงเหมือนเดิมกับในสัปดาห์ก่อนและราคาก็กำลังปรับตัวขึ้นนับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ที่มา: TradingView วันหยุดสุดสัปดาห์เป็นสีเขียวสำหรับ BGB โดยเป็นหนึ่งในเหรียญที่มีการเปลี่ยนแปลง 24 ชั่วโมงที่ดีที่สุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2.47% เทียบกับ BTC ที่ 1.31%, ETH ที่ 1.97% และ BNB ที่ 1.36% อินดิเคเตอร์ชี้ให้เห็นว่าขณะนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะซื้อ BGB เส้น MACD (สีน้ำเงิน) ได้ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal (สีส้ม) และเส้นศูนย์ ส่วน RSI ก็อยู่ในช่วงมาตรฐาน 30-70 แม้แต่เส้น Accum/Dist Line ก็ยืนยันเทรนด์นี้เช่นกัน เรียนรู้เกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคได้ที่นี่: การเทรด 101: อธิบายเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค นับตั้งแต่ที่ได้ออก BGB Whitepaper ก็ได้มีการจัดอีเวนต์มากมาย ทั้งลอตเตอรี่ BGB, การ Stake BGB, 40% APY BGB Pool บน Bitget Launchpool และโปรโมชันแนะนำเพื่อนกับโปรโมชันการเทรด BGB สุดพิเศษ โดยล่าสุดยังได้เปิดโอกาสในการรับผลตอบแทน BGB สำหรับผู้รัก Bitget CandyBomb ที่นี่อีกด้วย! สามารถดูผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจรายเดือนของ BGB ได้ในซีรีส์ BGB Sail ของเรา: BGB Sail: ฉบับเดือนเมษายน BGB Sail: ฉบับเดือนมีนาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ BGB Sail: ฉบับเดือนธันวาคม BGB Sail: ฉบับเดือนพฤศจิกายน BGB Sail: ฉบับเดือนตุลาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกันยายน BGB Sail: ฉบับเดือนสิงหาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกรกฎาคม BGB Sail: ฉบับเดือนมิถุนายน BGB Sail: ฉบับเดือนพฤษภาคม …แล้วมาดูข้อมูลความนิยมและการเป็นที่ยอมรับของ BGB ได้ที่นี่: ทำไม BGB ถึงจัดเป็นโทเค็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนระดับ Blue Chip สำหรับคุณได้ ผลลัพธ์มาแล้ว: บรรลุดีลเพดานหนี้สหรัฐ ตามที่ Kevin McCarthy ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการ โดยเขาและประธานาธิบดีได้บรรลุ “ข้อตกลงในหลักการ” นั่นคือ การขยายเพดานหนี้เป็นเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้จะต้องผ่านทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก่อนวันที่ 5 มิถุนายน มิฉะนั้นสหรัฐอเมริกาจะ “ผิดนัดชำระหนี้” ตลาดสามารถคาดหวังได้ว่าจะมีการ Rally ระยะสั้นเมื่อบรรลุข้อตกลงของดีลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการคริปโตที่ใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินอ้างอิงหลัก กระแสหลักถัดไปในโลกคริปโตคืออะไร คำตอบอาจเป็นการแปลงหลักทรัพย์ให้อยู่ในรูปโทเค็นดิจิทัล ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่ามูลค่าตามราคาตลาดของ T-Bills (ตั๋วเงินคลัง) และ ETF แบบ On-Chain นั้นมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐไปแล้ว แม้จะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนมกราคม 2023 ที่มา: Dune Analytics @steakhouse อีกเทรนด์ที่กำลังมาอย่างต่อเนื่องคือ Bitcoin NFT จำนวน Bitcoin Inscription ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 3 เท่าในเดือนพฤษภาคมจาก 3,069,006 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม มาเป็น 9,825,343 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม โดยส่วนใหญ่เป็นข้อความ (91%) และภาพ (ในรูปแบบ png และ webp) อุปทานที่พุ่งสูงขึ้นก็หมายถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ปริมาณการขาย Bitcoin NFT ในเดือนนี้มีการบันทึกไว้ที่ 155.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่า 2 เท่าของปริมาณการขายของ NFT จาก Solana และ 5 เท่าของ NFT จาก Polygon ซึ่งต้องไม่ลืมว่า บน Solana มีหนึ่งในมาร์เก็ตเพลส NFT ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ ในขณะที่ Polygon ก็ได้รับเลือกให้เป็นพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้ของ Starbucks, Salesforce ฯลฯ สำหรับโปรแกรม Loyalty ในรูปแบบ NFT และของ Mastercard สำหรับการออกบัตรเดบิตที่เป็น NFT ที่มา: CryptoSlam! NFT Collection Ranking ข่าวสาร Bitget ล่าสุด Bitget CandyBomb เปิดรอบใหม่แล้ว! เพื่อเป็นของขวัญสุดพิเศษสำหรับผู้ใช้ใหม่ โทเค็นที่ 2 ที่จะมีการ Airdrop บนแพลตฟอร์มทำภารกิจแล้วรับ Airdrop ของเราคือ BGB โดยรอให้ปลดล็อกอยู่ถึง 60,000 BGB เทรดและเชิญเพื่อนเพื่อรับลอตเตอรี่เพิ่มเลย! หลังจากที่ BIP1 IEO เสร็จสิ้นไปบน Bitget Launchpad ก็ได้มีการลิสต์ BIP1USDT ในโซน BRC-20 บน Bitget แล้ว! ปัจจุบันมีโทเค็น BRC-20 อยู่ด้วยกัน 7 โทเค็น โดยที่ ORDIUSDT เปิดให้เทรด Margin แล้วที่เลเวอเรจ 3X และเราจะเพิ่มโทเค็นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่านักเทรดของเราจะได้เทรดโทเค็นที่ดีที่สุด ที่มา: โซน BRC-20 บน Bitget เรามอบโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างผลตอบแทนให้แก่คุณเช่นกัน โดยล่าสุดได้เพิ่ม DONS เข้ามาใน Bitget Flexible Savings พร้อม APR 200%! คุณสามารถซื้อ DONS เพิ่มได้เสมอที่นี่เพื่อไปรับอัตราที่จุใจ นอกจากนี้ยังมีเวลาเหลืออีก 4 วันในการ Subscribe กับดีล BTC บน Bitget Dual Investment เพื่อรับ APR สูงสุดถึง 101.43% หรือกับดีล ETH เพื่อรับ APR สูงสุดถึง 64.54% Bitget Academy ก่อตั้งขึ้นโดยมีพันธกิจในการนำความรู้จากผู้เชี่ยวชาญมาสู่ผู้คนทั่วไป ในไตรมาสที่ 1 ปี 2023 เราได้เผยแพร่บทความให้ความรู้มากกว่า 200 บทความใน 20 ภาษา ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่คู่มือเชิงลึก เคล็ดลับที่ทำได้จริง ไปจนถึงการอัปเดตตลาด นอกจากนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือมือใหม่ในเส้นทางสายคริปโต เราจึงได้จัดทำคอร์สพื้นฐานบล็อกเชนซึ่งแบ่งเป็น 3 โมดูลที่เข้าใจง่าย ย่อยสามโมดูล และเมื่อผ่านแต่ละโมดูล คุณจะได้รับใบรับรองด้วย! รับใบรับรองได้แล้ววันนี้: คอร์สพื้นฐานบล็อกเชนจาก Bitget Academy อีเวนต์ใหม่ Bitget Pizza Day — HODL BTC/USDT/ETH/USDC/BGB ได้ APR สูงสุดถึง 15%! เข้าร่วมการแข่งขันเทรด Grid และดำเนินการกลยุทธ์เพื่อรับส่วนแบ่งจาก 30,000 BGB! ฉลอง Copy Trade คู่ใหม่ รางวัลกว่า 21,000 USDT ORDIUSDT เทรดใน One-Click Copy Trade ได้แล้ว โปรโมชันพิเศษเดือนพฤษภาคม! สนุกกับการจับรางวัลลุ้นโชคได้มากขึ้นแบบจำกัดระยะเวลา! รับโทเค็นยอดนิยมและคอลเลกชัน Balvenie Tasting! เชิญเพื่อนเพื่อชิง 1 BTC และโทเค็นมาแรง เช่น ETH, BGB และ XRP! สิ่งที่ดีมักมาที 2 อย่าง! รับส่วนแบ่งจาก 100,000 USDT! ฉลองการเทรดโทเค็น Concept ระดับภูมิภาค รับส่วนแบ่งจาก 10,000 BGB! ซื้อ Ethereum (ETH) ผ่านบัตรเครดิต/เดบิตบน Bitget การแข่งขันเทรด Bitget X CoinBureau: โปรโมชันสุดพิเศษ 15,000 USDT และโบนัสเพิ่มเติมอีก 40K! Bencoin (BEN) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — รับส่วนแบ่งจาก 1.6 แสนล้าน BEN ได้ที่ Launchpool! The Dons (DONS) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — รับส่วนแบ่งจาก 12,500,000 DONS Bitget จะลิสต์ PIZA (PIZA) ในโซน BRC-20 — เทรดเพื่อรับส่วนแบ่งจาก 50,000 PIZA! ชวนอ่าน แนะนำคอร์สพื้นฐานบล็อกเชน: เสริมสร้างพลังเยาวชนกับโครงการริเริ่ม Blockchain4Youth จาก Bitget Academy เส้นทางสู่ Crypto-Verse: คู่มือสำหรับมือใหม่ในการเทรด Bitcoin บน Bitget จริยธรรมการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี คริปโตกับการดูแลสุขภาพ: เทคโนโลยีบล็อกเชนพร้อมแล้วที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรม แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตชั้นนำสำหรับการเทรดในปี 2023 คริปโทเคอร์เรนซีอาจส่งผลกระทบต่อธนาคารดั้งเดิมได้อย่างไร เพียงแค่สร้างบัญชี แล้วเริ่มสำรวจ Bitget-Verse ที่น่าทึ่งวันนี้เลย!