ข่าวสาร ADF (ADF)

อธิบายเรื่อง Non-Fungible Token (NFT) สำหรับนักลงทุน ครีเอทีฟ และผู้ที่สนใจ

NFT ย่อมาจาก Non-Fungible Token ซึ่งหมายถึงโทเค็นที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนทดแทนได้ เป็นสินทรัพย์เข้ารหัสบนบล็อกเชน แต่ละโทเค็นมีความเป็นเอกลักษณ์และแทนที่ไม่ได้ ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจความจริงง่ายๆ เกี่ยวกับการทำงานของ NFT กันก่อน หัวข้อ 1. NFT คืออะไร 2. ทำความเข้าใจกับ P2P 3. NFT ใช้ทำอะไรได้บ้าง 4. โปรเจกต์และแพลตฟอร์ม NFT ที่มีชื่อเสียง NFT คืออะไร เงินนับพันล้านดอลลาร์ได้ถูกลงทุนใน NFT ครอบคลุมงานศิลปะ อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์โทเค็นทองคำ NFTs คืออะไรกันแน่? ลองนึกภาพว่ามีสินทรัพย์เข้ารหัสที่คล้ายกับBitcoin ซึ่งยังมีรายละเอียดการเป็นเจ้าของเพื่อให้ระบุและโอนระหว่างผู้ถือได้ง่าย ความแตกต่างก็คือการเพิ่มตัวระบุเฉพาะให้กับแต่ละหน่วยแทน ซึ่งหมายความว่าสินทรัพย์แต่ละหน่วยนั้นแตกต่างจากหน่วยอื่นทั้งหมด - ลักษณะนี้เรียกว่าไม่สามารถทดแทนได้ NFT ย่อมาจาก Non-Fungible Token ซึ่งหมายถึงโทเค็นที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนทดแทนได้ เป็นสินทรัพย์เข้ารหัสบนบล็อกเชน แต่ละโทเค็นมีความเป็นเอกลักษณ์และแทนที่ไม่ได้ โทเค็นที่ไม่สามารถทดแทนได้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้: - NFT สามารถแสดงวัตถุใด ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงในรูปแบบดิจิทัลได้ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ อวาตาร์ เพลง วิดีโอ ไอเทมในเกม ตั๋วกิจกรรม ชื่อโดเมน หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ - NFT มีเจ้าของครั้งละหนึ่งราย - NFT มีชีวิตอยู่และได้รับการรักษาความปลอดภัยโดยบล็อคเชน Ethereum โดยโทเค็นแต่ละตัวที่สร้างขึ้นจะมีตัวระบุเฉพาะตัวที่เชื่อมโยงโดยตรงกับที่อยู่ Ethereum และข้อมูลนี้สามารถตรวจสอบได้ นั่นหมายความว่าไม่มีใครสามารถแก้ไขบันทึกความเป็นเจ้าของหรือสร้าง NFT ใหม่ขึ้นมาได้ - ต่างจาก Bitcoin, 1 BTC จะเหมือนกันทุกประการกับ 1 BTC NFT ไม่สามารถใช้แทนกับโทเค็นอื่นได้โดยตรง ผลงานศิลปะดิจิทัลล้วนชิ้นแรกอย่าง 'Everydays: The First 5,000 Days' ของ Beeple ถูกขายไปได้ในราคาสูงกว่า 69 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มา: คริสตี้ส์ ทำความเข้าใจกับ P2P เนื่องจาก NFT อยู่บนบล็อคเชน Ethereum คุณจึงสามารถซื้อขาย NFT ในตลาดเปิด เช่นSuperRare ,Foundation ,BakerySwap ,OpenSea เป็นต้น คำถามที่แท้จริงที่นี่ก็คือ คุณ 'เป็นเจ้าของ' อะไรจริงๆ เมื่อคุณซื้อ NFT? แต่ก่อนอื่น เรามาดูเรื่องความเป็นเจ้าของ NFT กันก่อน คุณสามารถคลิกขวาที่ 'Everydays: The First 5,000 Days' ของ Beeple ด้านบน และดาวน์โหลดไฟล์ดิจิทัลเดียวกับที่เจ้าของจ่ายเงินไปเกือบ 70 ล้านเหรียญได้มากเท่าที่คุณต้องการ อย่างไรก็ตาม NFT ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เราได้มากกว่าแค่ไฟล์ดิจิทัล: กรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ กรณีของการสะสมงานศิลปะทางกายภาพนั้น ใครๆ ก็สามารถซื้อภาพพิมพ์ของ Monet ได้ แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของผลงานที่แท้จริงเพียงฉบับเดียว พวกเขาจะพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้อย่างไร? เอาล่ะ เรามาดูเรื่องสัญญา NFT อย่างละเอียดกันดีกว่า เพียงแค่ป้อนข้อมูล สัญญา NFT แต่ละสัญญาจะประกอบด้วย (1) ID ของโทเค็นนั้น (2) เจ้าของ (ที่อยู่สาธารณะของบล็อกเชน) และ (3) ฟังก์ชันการถ่ายโอน ตัวอย่างสัญญา NFT ที่มา : Anthony Day สัญญา NFT มอบความสามารถในการโอนหรืออ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของข้อมูลดิจิทัลชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่สามารถติดตามได้จากบัญชีแยกประเภทสาธารณะ - บล็อกเชน Ethereum ดังนั้น กลับมาที่คำถามที่ว่า 'คุณ 'เป็นเจ้าของ' อะไรจริงๆ เมื่อคุณซื้อ NFT' คำตอบคือ เมื่อคุณซื้อ NFT คุณจะเป็นเจ้าของสิทธิพิเศษในการแก้ไขแถวในสเปรดชีตสองคอลัมน์ที่ใช้งานในสัญญาอัจฉริยะบนบล็อคเชน Ethereum โอเค… แต่มันมีความหมายอย่างไรสำหรับผู้สร้างและผู้ลงทุนใน NFT? ในฐานะผู้สร้าง NFT คุณสามารถพิสูจน์ได้อย่างง่ายดายว่าคุณคือผู้สร้าง คุณสามารถกำหนดความขาดแคลนของ NFT ได้ และสามารถรับค่าลิขสิทธิ์ได้ทุกครั้งที่มีการขาย ในฐานะนักสะสม คุณสามารถพิสูจน์ได้อย่างง่ายดายว่าคุณเป็นเจ้าของ NFT เพื่อเป็นช่องทางในการสนับสนุนศิลปินและโปรเจ็กต์ที่คุณชื่นชอบ คุณสามารถขายต่อได้ในราคาที่สูงกว่า หรือจะเลือกถือไว้ตลอดไปโดยสบายใจได้ว่าสินทรัพย์ของคุณได้รับการปกป้องโดยกระเป๋าเงินบล็อกเชนของคุณ โทเค็นที่ไม่สามารถทดแทนได้นั้นก็เหมือนกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งคุณซื้อมันแล้วหวังว่าวันหนึ่งมูลค่าจะเพิ่มขึ้น ในฐานะนักลงทุนคุณจำเป็นต้องทำการวิจัยด้วยตนเอง ในบรรดาโปรเจ็กต์ศิลปะและของสะสม NFT มากมายที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน คุณควรจะผ่านคำถามสองสามข้อ เช่น"คุณชอบมันจริงๆ หรือไม่", "ทีมงานที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็กต์นี้เชื่อถือได้หรือไม่", "แล้วความหายากของมันล่ะ" ก่อนที่จะลงทุนเงินของคุณใน NFT NFT ใช้ทำอะไรได้บ้าง ขอบเขตที่เหมาะสำหรับ NFT คืออะไรก็ตามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งจำเป็นต้องมีการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ แม้ว่าระบบนิเวศ NFT จะค่อนข้างใหม่ แต่ก็มีกรณีการใช้งานที่ดีบางกรณีด้านล่างนี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นมากมายในอนาคตด้วยเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มดีนี้ เพิ่มรายได้สูงสุดให้กับผู้สร้างเนื้อหา บางทีกรณีการใช้งาน NFT ที่ใหญ่ที่สุดอาจอยู่ในขอบเขตของเนื้อหาดิจิทัล ในยุคอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ ผู้สร้างเนื้อหาพบว่าสิทธิและผลกำไรของพวกเขาถูกแพลตฟอร์มกลืนกิน และปัญหาการคัดลอก/วาง ยิ่งมีการเปิดเผยและใช้เนื้อหาดิจิทัลมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีมูลค่ามากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น บริการสตรีมเพลง จะได้กำไรส่วนใหญ่จากยอดขาย และผู้สร้างสรรค์ผลงานก็จะได้รับชื่อเสียงตอบแทน แต่โดยปกติแล้ว ชื่อเสียงเหล่านี้จะไม่เพียงพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ NFT เข้ามาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ที่ยุติธรรมมากขึ้น โดยที่ผู้สร้างสรรค์สามารถจัดการกับความเป็นเจ้าของเนื้อหานั้นๆ ได้ด้วยตัวเอง เมื่อพวกเขาขายเนื้อหาของตน กำไรจะเข้าไปยังพวกเขาโดยตรง แม้ว่าเจ้าของใหม่จะขาย NFT แต่ผู้สร้างเดิมก็ยังสามารถได้รับค่าลิขสิทธิ์โดยอัตโนมัติ พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เป็นผลดีกับทั้ง 2 ฝ่ายในอุตสาหกรรมเกม: เมื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเกม NFT ยังสามารถใช้ในการออกไอเทมดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกันและของสะสมแบบเข้ารหัสผ่าน DApps (แอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ) ได้อีกด้วย NFT อนุญาตให้มีการบันทึกความเป็นเจ้าของไอเทมในเกม กระตุ้นเศรษฐกิจในเกม และนำผลประโยชน์ต่างๆ มากมายมาสู่ผู้เล่น สิ่งนี้หมายถึงอะไรสำหรับนักพัฒนาเกมและผู้เล่น? สำหรับนักพัฒนาเกม (หรือที่เรียกว่าผู้สร้าง NFT) พวกเขาสามารถรับค่าลิขสิทธิ์ได้ทุกครั้งที่มีการขายไอเทมอีกครั้งโดยผู้เล่น สำหรับผู้เล่นนั้น แตกต่างจากไอเทมเกมทั่วๆ ไป หากเกมไม่ได้รับการดูแลโดยนักพัฒนาอีกต่อไป ไอเทม NFT ที่คุณรวบรวมเอาไว้ก็จะยังคงเป็นของคุณอย่างแท้จริง นั่นอาจหมายถึงว่าคุณสามารถสร้างกำไรได้โดยการขายเมื่อคุณเล่นเกมจบหรือเมื่อไอเทมนั้นน่าสนใจมากขึ้น NFTs x DeFi - พลังอันทรงพลังเพื่อการเปลี่ยนแปลง ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอีกประการของ NFT คือการทำให้ระบบการเงินในปัจจุบันมีประสิทธิภาพมากขึ้น NFT เมื่อวางไว้ในพื้นหลังDeFi สามารถสร้างกระแสใหม่ทั้งหมดได้ ​​โครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจาก NFT แสดงถึงสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทต่างๆ ตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงสัญญากู้ยืมและงานศิลปะบนบล็อกเชน ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีคนกลางและระบบการเงินที่ซับซ้อนอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น คุณใช้ 5 ETH เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อให้คุณสามารถกู้ยืม 1,000 USDT ได้ สิ่งนี้จะรับประกันว่าผู้ให้กู้จะได้รับเงินคืน – หากผู้กู้ไม่ชำระเงินคืน USDT โดยอาศัยฟังก์ชันสัญญาอัจฉริยะ หลักประกันจะถูกส่งไปยังผู้ให้กู้โดยอัตโนมัติ ตัวอย่างอื่นในอาณาจักรการลงทุน เช่น การพิจารณาที่ดินที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายแผนก โดยแต่ละแผนกจะมีลักษณะเฉพาะ มีทำเลที่ตั้งและราคาที่แตกต่างกัน และแสดงด้วย NFT Decentraland ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเสมือนจริงบน Ethereum ได้พัฒนาตลาด ใหม่ๆ และรูปแบบโซลูชันการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าแล้ว โปรเจกต์และแพลตฟอร์ม NFT ที่มีชื่อเสียง ตอนนี้เราเข้าใจพื้นฐานแล้ว มาเจาะลึกผู้เล่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก NFT กันบ้าง OpenSea - มาร์เก็ตเพลสดิจิทัลแบบกระจายศูนย์สำหรับ NFT และของสะสมในรูปแบบคริปโตแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลก OpenSea เปิดตัวในปี 2017 มีผู้ใช้กว่า 600,000 ราย มีคอลเลกชันกว่า 6,600 รายการ และประมวลผล NFT ที่มีมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ที่น่าประทับใจบางส่วน คุณจะพบหมวดหมู่ NFT แทบทุกหมวดหมู่บน OpenSea ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ ชื่อโดเมน ของสะสม ดนตรี เป็นต้น CryptoPunks - การทดลอง NFT แรกใน Ethereum CryptoPunks ถูกสร้างขึ้นโดย Larva Labs และเพิ่งถูกซื้อโดย Yuga Labs โดยเป็นคอลเลกชันภาพศิลปะพิกเซลขนาด 24x24 ที่ไม่ซ้ำกันจำนวน 10,000 ภาพ ซึ่งสร้างขึ้นโดยอัลกอริทึม พวกพั้งค์ส่วนใหญ่มักเป็นพวกผู้ชายหรือผู้หญิงที่มีลักษณะเหมือนพวกพั้งค์ แต่ก็มีประเภทอื่นอีกเล็กน้อย เช่น เอเลี่ยน ลิง และซอมบี้ที่มีรูปลักษณ์ประหลาดๆ ด้วยอุปทานที่มีจำกัดและการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งในกลุ่มผู้ใช้รุ่นแรก จึงดูเหมือนว่าเป็นหนึ่งในผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับของเก่าดิจิทัลที่แท้จริง CryptoPunks ยังเป็นเจ้าของ NFT ที่มีราคาแพงที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ Punk #5822 ซึ่งขายไปได้ในราคา 8,000ETH ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบ 23.7 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะนั้น CryptoKitties - โปรเจกต์ที่นำ NFT มาสู่กระแสหลัก ประวัติของ NFT สามารถแบ่งได้เป็นสองช่วงหลักๆ คือ 'ก่อน CryptoKitties' และ 'หลังการถือกำเนิดของ CryptoKitties' CryptoKitties เป็นหนึ่งในเกมบล็อคเชนเกมแรกของโลก แม้ว่าผู้เล่นเกมบางคนในภายหลังจะระบุว่า CryptoKitties ไม่ใช่เกมจริง แต่เรื่องราวของเกมนั้นก็น่ารัก ผ่อนคลาย และสามารถแชร์ต่อได้ในเวลานั้น ใครจะไม่ชอบแนวคิดที่จะซื้อแมวดิจิทัลราคา 1,000 ดอลลาร์และผสมพันธุ์มันให้กลายเป็นแมวตัวใหม่ที่มีความหายากหลากหลายกันล่ะ Decentraland - สถานที่ครบวงจรแห่งโลกเสมือนสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลบน Ethereum แม้ว่า CryptoKitties และ CryptoPunks อาจฟังดูเป็นเรื่องสนุกๆ แต่ก็มีผู้ที่ทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน ซึ่ง Decentraland ก็เป็นตัวอย่างที่ดี Decentraland เป็นโลกความเป็นจริงเสมือนแบบกระจายศูนย์ที่ผู้ใช้สามารถพัฒนาและแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลกันได้ เช่น แปลงของที่ดินเสมือน ผลงานศิลปะ และ NFT โดยเป็นผู้บุกเบิกในการใช้ NFT กับการถือครองที่ดินและสินทรัพย์ในโลกของแพลตฟอร์ม ในปี 2018 NFT LAND มีปริมาณการซื้อขายมากกว่า NFT อื่นๆ ส่งผลให้มีการระดมทุนได้ 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเริ่มการขายที่ดินมูลค่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับแปลงที่ดินในเมตาเวิร์สเสมือนจริงของพวกเขา ข้อสงวนสิทธิ์: รายชื่อผลิตภัณฑ์และโปรเจกต์ทั้งหมดที่ปรากฏในบทความนี้มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุนแต่อย่างใด หากคุณเป็นมือใหม่ในวงการคริปโต สมัครรับข่าวสารโซเชียลมีเดียของเราในวันนี้เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเพิ่มเติม! Twitter | Telegram | LinkedIn | Youtube | Facebook | Instagram

Hamster Kombat (HMSTR) เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัว Airdrop ครั้งใหญ่, การอัปเดต Roadmap และเผยแพร่ Whitepaper

Hamster Kombat (HMSTR) เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัว Airdrop ครั้งใหญ่, การอัปเดต Roadmap และเผยแพร่ Whitepaper ในช่วงเริ่มแรก ช่องทางอย่างเป็นทางการของ Hamster Kombat (HMSTR) ก่อให้เกิดกระแสฮือฮาบนโซเชียลมีเดียภายในอุตสาหกรรมคริปโต กระแสความนิยมนี้ยังคงไม่ลดน้อยลงและยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่อง Hamster Kombat เพิ่งเผยแพร่ Whitepaper และอัปเดต Roadmap บนเว็บไซต์ของพวกเขา ถือเป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่กำลังติดตามการเดินทางของพวกเขาและตั้งเป้าที่จะเป็นหนึ่งใน CEO ของ Hamster ที่รวยที่สุด มาสำรวจการพัฒนาและการอัปเดตล่าสุดของการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นนี้กัน สมัครบัญชีบน Bitget เพื่อติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเหรียญยอดนิยม! Hamster Kombat (HMSTR) คือเกม Tap-to-Earn บน Telegram ที่ได้รับความนิยม โดยผู้เล่นจะรับบทเป็น CEO ของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีเสมือน ในเกมนี้ ผู้เล่นจะต้องแตะเพื่อรับสกุลเงินในเกมที่เรียกว่า Hamster Coin ซึ่งสามารถใช้อัปเกรดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเสมือนและปลดล็อกฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ ภารกิจประจำวัน โปรแกรมการแนะนำ การแข่งขัน และอีเวนต์ต่างๆ จะช่วยเสริมประสบการณ์การเล่นเกมและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน Airdrop ของเกมที่กำลังจะมีขึ้นนี้ได้รับการรอคอยอย่างมาก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบแทนผู้เล่นที่แอคทีฟด้วยโทเค็นจริงตามความสำเร็จในเกมของพวกเขา ผู้เล่นสามารถเชื่อม TON Wallet ของตนเพื่อรับรางวัลในโลกแห่งความเป็นจริงและแปลงเหรียญในเกมเป็นโทเค็น $HMSTR ที่สามารถเทรดได้ พบเคล็ดลับที่จะรับ 5 ล้านเหรียญทุกวันด้วย Hamster Kombat Daily Combo Card Solution ที่นี่! เผยแพร่ Whitepaper ของ Hamster Kombat แล้ว เมื่อเวลา 01:06 น. (GMT+8) ของวันที่ 31 กรกฎาคม 2024 Hamster Kombat Telegram ได้ประกาศเปิดตัว Whitepaper ทางการ และ Roadmap ที่อัปเดต ประกาศดังกล่าวมีผู้เข้าชมมากกว่า 6.5 ล้านครั้ง และได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีหลายแสนครั้ง Whitepaper ระบุรายละเอียดหมุดหมายสำคัญและความสำเร็จที่สำคัญที่ Hamster Kombat สามารถทำได้ในอุตสาหกรรมคริปโต พร้อมทั้งภารกิจในการเสริมสร้างตนเองให้เป็นผู้มอบ Airdrop ที่ใหญ่ที่สุดในเซกเตอร์คริปโต ด้วยการเปลี่ยนผ่านจากเกมมือถือสู่หนึ่งในเหรียญที่ได้รับการรอคอยมากที่สุด Hamster Kombat ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของตนในฐานะที่มากกว่าแค่เกมหรือคลิกเกอร์เท่านั้น ในเกมที่น่าดึงดูดใจนี้ ผู้เล่นสามารถก้าวหน้าจากระดับล่างขึ้นไปสู่ระดับบนโดยร่วมมือกับเพื่อนๆ ของพวกเขา พวกเขาสามารถสื่อสาร ได้ความสนุกสนาน ได้รับความรู้ เข้าถึง Hamster Academy และกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก Web3 ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจดูเหมือนไม่สามารถเข้าถึงได้มาก่อน สิ่งนี้คือภารกิจที่แท้จริงของพวกเขาตามที่ระบุไว้ใน Whitepaper นอกจากนี้ Hamster Whitepaper ยังมีไฮไลท์ ตัวชี้วัดสำคัญ และรายละเอียดของอรรถประโยชน์ รวมทั้งกลไกของทีมที่ใช้ดึงดูดชุมชน KOL ในการแข่งขันประเภททีมอีกด้วย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงอีเวนต์แบบจำกัดเวลาว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับให้สมาชิกชุมชนโต้ตอบกัน รวมไปถึงยังทำให้ผู้ใช้สามารถได้รับสกินและตัวเลือกส่วนบุคคลอีกด้วย นอกจากนี้ เอกสาร Whitepaper ยังได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับโทเค็น HMSTR และ Foundation ไว้เพิ่มเติม โดยเน้นย้ำถึงภารกิจของ Hamster Foundation ที่จะรับผู้คนอีกพันล้านคนเข้าสู่ Web3 และพัฒนาโทเค็น $HMSTR และระบบนิเวศของตนอย่างยั่งยืน โทเค็น $HMSTR นั้นขับเคลื่อนโดยชุมชน อีกทั้งจะเปิดตัวและดำเนินการโดย Hamster Foundation พร้อมแผนที่จะขยายอรรถประโยชน์ให้กว้างไกลออกไปนอกเหนือจาก Hamster Kombat โดยจะใช้กำไรจาก Hamster Kombat ในการสนับสนุนโปรเจกต์โดยไม่จำเป็นต้องขายโทเค็นที่จัดสรรให้กับทีม สุดท้ายนี้ ยังได้สรุปข้อเท็จจริงที่สำคัญเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของโทเค็น (Tokenomics) ไว้ รวมถึงแผนการสำหรับ Airdrop ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริปโต, การจัดสรรปริมาณ Airdrop, ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการพัฒนาเกม อีกทั้งลักษณะและมูลค่าที่เป็นไปได้ของโปรเจกต์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน Roadmap ของ Hamster Kombat พวกเขาเชื่อมั่นในความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้เล่นแต่ละคนที่มีต่อความสำเร็จของพวกเขา และได้อุทิศ 60% ของโทเค็นทั้งหมดเพื่อการแจกจ่ายให้กับชุมชน โดยวางแผนที่จะเปิดเผยรายละเอียดแยกส่วนของเศรษฐศาสตร์ของโทเค็น (Tokenomics) ใน Season ที่ 2 ซึ่งจะมาถึงของเกม Airdrop โทเค็น Hamster เป็นโปรเจกต์ที่มีความซับซ้อนทางเทคนิค และพวกเขาไม่ได้กำหนดวันที่ที่แน่ชัดเนื่องจากมีระยะเวลาการดำเนินการที่ไม่สามารถคาดเดาได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขากำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งกับระบบนิเวศ TON เพื่อให้แน่ใจว่า Airdrop จะเป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับผู้ใช้ทุกคน Hamster Kombat Airdrop หากต้องการเข้าร่วมในช่วง Early Bird ของ Hamster Airdrop ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้: 1. เปิดบอท Hamster Kombat ในแอป Telegram ของคุณ 2. แตะที่แท็บ Airdrop ที่มุมขวาล่างของหน้าจอเกม 3. เลือกภารกิจแรกที่จะเชื่อมต่อ TON Wallet ของคุณ 4. เลือกประเภท TON Wallet ของคุณ เช่น Bitget Wallet ในบทช่วยสอนนี้ 5. คลิกที่ “เชื่อมต่อ Wallet / Collect Wallet” และยืนยันการเชื่อมต่อ 6. รอให้ Wallet โหลดเสร็จและรับข้อความยืนยันเกี่ยวกับ Wallet ที่เชื่อมต่อ นอกจากนี้ ให้เข้าร่วมช่องทาง Telegram ของ Hamster Kombat สำหรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับภารกิจใหม่และข้อมูล Airdrop เคล็ดลับในการรับเหรียญ Hamster เพิ่มเติม หากต้องการเพิ่มเหรียญ Hamster ใน Hamster Kombat Telegram Mini App คุณมีตัวเลือกในการอัปเกรดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนของคุณด้วยการเลือก Bitget, เข้าสู่ระบบเป็นประจำเพื่อรับผลตอบแทนจากเหรียญแบบ Passive, เชิญเพื่อนเข้าร่วม, รับรางวัลรายวัน โต้ตอบกับแอปบนโซเชียลมีเดีย ดูวิดีโอแนะนำบน Hamster YouTube และแก้ปัญหา Daily Combo Card เพื่อรับ 5 ล้านเหรียญทุกวัน พร้อมกับการแก้ปริศนา Daily Cipher Morse Code เพื่อลุ้นโอกาสรับเหรียญสูงสุด 1 ล้านเหรียญต่อวัน บทสรุป ตั้งแต่เปิดตัวมา Hamster Kombat เติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้ใช้หลายล้านคนและมีผู้ติดตามที่เหนียวแน่นบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Bitget ความสำเร็จของเกมสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการเล่นที่น่าดึงดูดและฟีเจอร์ที่สร้างสรรค์ ซึ่งทำให้เกมนี้กลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญในโลกของความบันเทิงบนบล็อกเชน มาร่วมเดินทางไปกับ Bitget แ ละใช้แนวทางของเราเพื่อเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมรายแรกๆ ของ Hamster Airdrop!

สร้างและบริหารตลาด NFT ของคุณเองด้วย Rarible (RARI)

ปี 2021 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาตร์สำหรับ Non-Fungible Token (NFT) เพราะเป็นช่วงที่โทเค็นเหล่านี้ได้รับความสนใจจากทั่วโลก พร้อมทั้งมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของศิลปะดิจิทัลไปอย่างสิ้นเชิง ท่ามกลางการปฏิวัติวงการของ NFT นี้ Rarible ได้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะผู้ท้าชิงสุดโดดเด่นที่ให้บริการมาร์เก็ตเพลสแบบปรับแต่งได้บนบล็อกเชนต่างๆ โดยมีโทเค็นการกำกับดูแล “RARI” เป็นศูนย์กลางของ “RARI DAO” หน่วยงานด้านการกำกับดูแลสำหรับ Rarible Protocol Rarible (RARI) คืออะไร Rarible คือ ตลาด NFT ที่เน้นครีเอเตอร์เป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งเป็นแพลตฟอร์มการออกโทเค็นที่สร้างขึ้นด้วย Rarible Protocol ส่วนโทเค็น $RARI เป็นโทเค็นการกำกับดูแลประจำแพลตฟอร์มที่มีส่วนช่วยสนับสนุนผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับโปรโตคอลอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าใครก็สามารถสร้าง Non-Fungible Token (NFT) สำหรับไอเท็มดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์ เช่น งานศิลปะ ไอเท็มในเกม และอื่นๆ บน Rarible ได้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาสามารถสร้างมาร์เก็ตเพลสในรูปแบบของตนเองได้อย่างเต็มที่สำหรับคอลเลกชันต่างๆ ในแทบทุก Chain ด้วย Rarible Protocol นั่นเอง Rarible Protocol อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ RARI DAO ซึ่งเป็นตัวแทนของ IRL โดย RARI Foundation ทั้งนี้ โทเค็น $RARI ที่ออกในปี 2020 นั้นทำหน้าที่เป็นโทเค็นการกำกับดูแลสำหรับระบบนิเวศ Rarible Protocol ทั้งหมด RARI ทำงานอย่างไร Rarible Protocol คือ Multi-Chain Indexer, แพลตฟอร์ม Smart Contract, SDK และแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังตลาด NFT มากกว่า 5,000 แห่ง รวมถึงตลาดชื่อดังอย่าง Rarible.com นอกจากนี้ Rarible Protocol ยังสนับสนุนแอปพลิเคชันต่างๆ มากมายที่นอกเหนือจากมาร์เก็ตเพลสอีกด้วย เช่น Wallet และบริการวิเคราะห์ NFT แพลตฟอร์มนี้สามารถทำงานได้กับบล็อกเชนที่รองรับ Ethereum Virtual Machine (EVM) และที่ไม่รองรับ EVM รวมถึงสามารถรองรับมาตรฐานโทเค็นที่เข้ากันได้กับ EVM เช่น ERC-721, ERC-1155 และ ERC-20 ด้วยเช่นกัน ด้วยการใช้งาน Rarible Protocol คุณจะสามารถดำเนินการต่างๆ ได้ดังนี้: สร้างตลาด NFT แบบกำหนดเอง: จัดแสดงไอเท็มใดๆ จากคอลเลกชันใดก็ได้ในแบบที่คุณต้องการ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้จาก Rarible Protocol SDK ขับเคลื่อนเกม Web3: ฝังระบบของตลาด NFT เข้าไปในเกมของคุณ พร้อมทำการ Mint, เทรด และเพลิดเพลินไปกับการทำธุรกรรมแบบไร้ค่าธรรมเนียม Gas ได้บนโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างด้วย Rarible สร้างบอทเทรดระดับมืออาชีพ: การเทรด NFT จะกลายเป็นเรื่องง่ายดายพอๆ กับการเทรด Fungible Token เลยก็ว่าได้ ด้วย Indexer อันทรงพลังของ Rarible ในบล็อกเชนต่างๆ คุณสามารถสร้างบอทเทรดอัตโนมัติตามกลยุทธ์ใดก็ตามที่คุณต้องการใช้งานได้เลย เข้าถึงข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์: Rarible มีเครื่องมือวิเคราะห์พร้อมบริการ API ไว้ให้เลือกใช้งาน โดยคุณสามารถเลือกดูข้อมูลตลาดในอดีตทั้งหมด และดึงข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ด้วยบริการข้อมูลที่อยู่ในตัวระบบของ Rarible ได้เลย ในฐานะโทเค็นการกำกับดูแลของระบบนิเวศ Rarible Protocol โทเค็น $RARI จะให้สิทธิ์กับคุณในด้านต่างๆ ดังนี้: เข้าร่วมกิจกรรมด้านการกำกับดูแลทั้งหมดของ Rarible ยื่นเสนอ แสดงความคิดเห็น และโหวตลงคะแนนเกี่ยวกับเงินทุนสนับสนุน ระบบรางวัลจูงใจ และอื่นๆ อีกมากมายได้เพียงทำการล็อกโทเค็น $RARI ของคุณไว้กับระบบ มอบสิทธิ์ในการโหวตของคุณให้กับฝ่ายที่เชื่อถือได้หรือรับตำแหน่งเป็น Delegate ด้วยตนเองโดยส่งใบสมัครไปที่ RARI Foundation RARI พร้อมให้บริการบน Bitget RARI DAO เป็นองค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ที่บริหารโดยชุมชน ซึ่งสนับสนุน “Rarible Protocol” แพลตฟอร์มแบบโอเพนซอร์สและใช้งานได้ฟรี DAO ให้ความไว้วางใจในกลไกอัตโนมัติและระบบการกำกับดูแลเท่าที่จำเป็น รวมถึงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรและทำให้โปรโตคอลมีความยั่งยืน จากข้อมูล ณ ปัจจุบัน มาร์เก็ตเพลสที่ใหญ่ที่สุดของ Rarible มีปริมาณการเทรดรายวันอยู่ที่ประมาณ 20 ETH ซึ่งถือเป็นตลาด NFT 10 อันดับแรกตามการจัดอันดับโดย DefiLlama เลยทีเดียว Rarible (RARI) จะได้รับการลิสต์บน Bitget ในวันที่ 6 ธันวาคม วิธีเทรด RARI บน Bitget ขั้นตอนที่ 1: ไปที่หน้า “การเทรด Spot RARIUSDT / RARIUSDT spot trading” ขั้นตอนที่ 2: ป้อนจำนวนและประเภท Order จากนั้นคลิก “ซื้อ/ขาย” หรือ “Buy/Sell” สามารถดูวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเทรด Spot บน Bitget ได้ที่คู่มือฉบับเจา ะลึกสู่การเทรด Spot บน Bitget โทเค็น RARI ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงอนาคตในตลาด NFT ที่มีความหลากหลายและมีการกระจายศูนย์มากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนและการตัดสินใจแบบกระจายศูนย์ ในขณะที่ Rarible ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ กล่าวได้ว่า RARI จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการเติบโตของแพลตฟอร์มและภูมิทัศน์ NFT ในวงกว้างได้อย่างไม่ต้องสงสัย เทรด RARI บน Bitget เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรดแต่อย่างใด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

Holdstation: กุมอนาคตไว้ในมือคุณบน zkSync Era

ใน zkSync Era Layer-2 นั้น Holdstation กำลังปฏิวัติโลกแห่งการเทรด Futures ด้วย Web3 Smart Contract Wallet ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ โดยระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์นี้ ซึ่งผ่านการเติบโตมานานกว่า 1 ปีครึ่ง ได้รวมข้อดีของการกระจายศูนย์และโปรโตคอลแบบไม่ต้องอาศัยการอนุญาต (Permissionless) เข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ CeFi ในโลก DeFi Holdstation คืออะไร Holdstation เป็นแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ Smart Contract Wallet ซึ่งนำเสนอการเทรด Futures บน zkSync Era นอกจากนี้ แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเทรดสินทรัพย์ได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่คริปโทเคอร์เรนซีไปจนถึง Forex และสินค้าโภคภัณฑ์ พร้อมเลเวอเรจสูงสุดถึง 500x เนื่องจากลักษณะที่เป็นนวัตกรรมนี้เอง Holdstation จึงได้รับทุนสนับสนุนและการลงทุนจากโปรเจกต์ขนาดใหญ่หลายโปรเจกต์ เช่น Chainlink BUILD, K300 Ventures และจากของ zkSync เอง Holdstation (HOLD) ทำงานอย่างไร Holdstation ได้รับการออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์ม DeFi ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพบน zkSync Era โดยมีผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้: Holdstation Wallet หัวใจหลักของระบบนิเวศ Holdstation นั้นอยู่ที่ Holdstation Wallet ซึ่งเป็น Web3 Account Abstraction Wallet ที่ผสมผสานการเทรด Futures, การบริการดูแลรักษาสินทรัพย์ด้วยตนเอง และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น โดย Self-Custodial Wallet นี้ดำเนินการโดยไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนการ Know Your Customer (KYC) ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของหลักการการกระจายศูนย์ ด้วยอินเทอร์เฟซที่ทันสมัยและใช้งานง่ายซึ่งขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AA ล่าสุด Holdstation Wallet จึงโดดเด่นด้วยค่าธรรมเนียม 0% สำหรับธุรกรรม Layer-2 และค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ 0.2% สำหรับธุรกรรม EVM Chain ซึ่งโครงสร้างค่าธรรมเนียมนี้ทำให้ Holdstation เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม แพลตฟอร์มนี้ยังสนับสนุนค่าธรรมเนียม Gas สำหรับนักเทรดที่มีปริมาณเทรดสูง และเสนอทางเลือกให้ผู้ใช้ในการชำระค่าธรรมเนียม Gas ด้วย Stablecoin อย่าง USDC หรือ USDT เพื่อความยืดหยุ่นและความสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ ความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ด้วยตัวเลือกแบบ Seedless ที่ช่วยขจัดความจำเป็นในการจำ Seed Phrase หรือ Private Key ที่ซับซ้อน โดย Wallet ได้รับการตรวจสอบโดย Verichain Holdstation DeFutures Holdstation DeFutures อีกหนึ่งรากฐานสำคัญของระบบนิเวศ นำเสนอแพลตฟอร์มล้ำสมัยที่ให้นักเทรดได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการเทรด Futures ด้วยเลเวอเรจสูงอย่างน่าทึ่งถึง 500x นอกจากนี้ ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายของแพลตฟอร์มและเครื่องมือการเทรดขั้นสูงที่เสริมพลังให้นักเทรดใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดจากสินทรัพย์ต่างๆ นักเทรดบน Holdstation DeFutures มีบทบาทที่หลากหลาย ตั้งแต่การเป็น Ambassador ที่ได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการเทรดของเพื่อน ไปจนถึงการแบ่งปันกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จให้ผู้อื่นได้คัดลอก นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถมีส่วนร่วมในฐานะ Yield Farmer ที่รับรางวัลจากค่าธรรมเนียมการเทรด Holdstation DeFutures มีเป้าหมายที่จะให้บริการอย่างครอบคลุมสำหรับทั้งนักเทรดที่มีประสบการณ์และมือใหม่ เนื่องจาก DeFutures เป็นแพลตฟอร์ม DeFi ที่ซับซ้อนและครอบคลุม ทีมงาน Holdstation จึงรับประกันความปลอดภัยด้วยการทำให้ผลิตภัณฑ์ของตนผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดของ Verichain Holdstation Launchpad Holdstation Launchpad ทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบนิเวศของ zkSync โดยให้การสนับสนุนที่สำคัญสำหรับการขายโทเค็นของโปรเจกต์ที่มีอนาคตไกล นอกจากนี้ Holdstation Launchpad ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม โดยมีกลไก Soft Cap และ Hard Cap เพื่อรับประกันการคืนเงินของผู้ใช้และการจัดสรรโทเค็นอย่างเหมาะสม ทำให้มั่นใจได้ถึงโมเดล Fair Launch ฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ Launchpad ได้แก่ การดำเนินการแบบ Non-Custodial, อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย, Smart Contract อัตโนมัติ, การกระจายศูนย์ และกระบวนการต่อต้านสแกมที่เข้มงวด ความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยของ Holdstation Launchpad ได้รับการเน้นย้ำด้วยการตรวจสอบอย่างละเอียดจาก Verichain Holdstation Foundation Holdstation Foundation ดำเนินการในฐานะ DAO โดยให้อำนาจแก่ผู้ถือโทเค็นในการเสนอและโหวตเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์ม โดย DAO มุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนในระยะยาว โดย 15% ของอุปทานทั้งหมดของโทเค็น HOLD ได้รับการจัดสรรไว้สำหรับการพัฒนาชุมชนและการเติบโตของระบบนิเวศ Holdstation Research Holdstation Research ทำหน้าที่เป็นศูนย์วิจัยบล็อกเชน โดยให้ข้อมูล ความรู้ และข้อมูลเชิงลึกที่เป็นปัจจุบันแก่ผู้ใช้ เพื่อการตัดสินใจลงทุนคริปโตที่มีข้อมูลครบถ้วน Holdstation Club ในเร็วๆ นี้จะมีการเปิดเผยถึง Holdstation Club ซึ่งจะเปิดตัว NFT คอลเลกชันสุดพิเศษจำนวน 8,888 รายการ ที่เป็นตัวแทนของ Holdstation Social Club โดยสมาชิกคลับสามารถเข้าถึง NFT ที่ไม่ซ้ำใคร, อีเวนต์พิเศษ และโอกาสในการรับรางวัลพิเศษ เสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของสมาชิกในชุมชนระดับ Elite ที่หลงใหลในการเทรดและบล็อกเชน HOLD พร้อมให้บริการบน Bitget Holdstation เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับอนาคตด้วย Roadmap ที่มีการวางแผนมาอย่างพิถีพิถัน ซึ่งรวมถึงการผสานรวม Multi-Layer-2, UI/UX ที่ได้รับการปรับปรุง, การปรับปรุง Smart Contract Wallet และฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยขั้นสูง นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของโปรเจกต์ในการกระจายศูนย์ ความปลอดภัย และการเสริมศักยภาพของชุมชน ทำให้โปรเจกต์นี้กลายเป็นผู้เล่นที่สำคัญในการกำหนดอนาคตของการเทรดคริปโต ในฐานะโทเค็นการกำกับดูแลดั้งเดิมของ Holdstation คือ HOLD เป็นมากกว่าตัวแทนของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยยังเป็นหนทางไปสู่ระบบนิเวศอันเป็นการปฏิวัตินี้ที่ผสมผสานการเทรด Futures, การบริการดูแลรักษาสินทรัพย์ด้วยตนเอง และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เข้าด้วยกัน ซึ่งการเทรด HOLD บน Bitget จะช่วยให้คุณเข้าถึงศักยภาพของโทเค็นที่ออกแบบมาเพื่ออนาคตนี้ HOLD จะได้รับการลิสต์บน Bitget ในวันที่ 27 พฤศจิกายน วิธีเทรด HOLD บน Bitget ขั้นตอนที่ 1: ไปที่หน้า “การเทรด Spot HOLDUSDT / HOLDUSDT spot trading” ขั้นตอนที่ 2: ป้อนจำนวนและประเภท Order จากนั้นคลิก “ซื้อ/ขาย หรือ Buy/Sell” สามารถดูวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเทรด Spot บน Bitget ได้ที่ ​คู่มือฉบับเจาะลึกสู่การเทรด Spot บน Bitget การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของ Holdstation ของอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และความมุ่งมั่นในด้านการกระจายศูนย์และความปลอดภัย ทำให้ Holdstation เป็นโปรเจกต์ที่โดดเด่นในตลาดคริปโต ซึ่งในขณะที่พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง Holdstation ก็มีศักยภาพที่จะเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่กับแค่ในโลก EVM และ Layer-2 เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แพลตฟอร์มนี้ก็พร้อมแล้วที่จะสร้างประสบการณ์การเทรด Futures บน DeFi ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก เทรด HOLD บน Bitget เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

8 ปีแห่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง: การเดินทางของ Ethereum

สรุปใจความสำคัญ บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมโดยย่อเกี่ยวกับการเกิดและเติบโตของ Ethereum โดยเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มบล็อกเชนนี้ตลอดการเดินทาง 8 ปีอันน่าประทับใจ ในขณะที่โลกกำลังเฉลิมฉลองการครบรอบ 8 ปีของ Ethereum เรามาใช้เวลาตรงนี้สักครู่เพื่อพิจารณาถึงการเดินทางที่สุดแสนจะไม่ธรรมดาของแพลตฟอร์มดังกล่าวกัน Ethereum ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดยชายผู้มีวิสัยทัศน์ที่ชื่อ “Vitalik Buterin” และตั้งแต่นั้นมา Ethereum ก็ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีบล็อกเชนไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมนำนวัตกรรมและการกระจายศูนย์เข้ามา อีกทั้งยังมีส่วนช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ นับไม่ถ้วน ต้นกำเนิดของ Ethereum จุดเริ่มต้นของ Ethereum เรื่องราวของ “Ethereum” เริ่มต้นขึ้นในปลายปี 2013 เมื่อ Vitalik Buterin โปรแกรมเมอร์อายุน้อยผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ เริ่มให้ความสนใจอย่างลึกซึ้งในศักยภาพของบล็อกเชนที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของ Bitcoin ในขณะที่ Bitcoin เป็นตัวปฎิวัติวงการด้วยการสร้างสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ Buterin กลับจินตนาการไปถึงแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่รองรับ Programmable Smart Contract (Smart Contract ที่สามารถโปรแกรมได้) และแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApp) แนวคิดเหล่านี้เองที่เป็นรากฐานให้กับต้นกำเนิดของ Ethereum ในช่วงต้นปี 2014 Buterin ได้เผยแพร่ Whitepaper ที่มีชื่อว่า “Ethereum:A Next-Generation Smart Contract and Decentralized Application Platform (Ethereum: Smart Contract ยุคใหม่และแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์)” สู่สาธารณชน เอกสารดังกล่าวมีการพูดถึงวิสัยทัศน์ของเขาอย่างละเอียดเกี่ยวกับแพลตฟอร์มบล็อกเชนอเนกประสงค์ที่สามารถดำเนินการแอปพลิเคชันที่ซับซ้อน และทำสัญญาได้แบบอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง แนวคิดนี้ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนในวงกว้าง และได้รับความสนใจจากชุมชนเทคโนโลยีทั่วโลกอย่างรวดเร็ว Ethereum Foundation และการระดมทุน (Crowdfunding) Vitalik Buterin ได้ร่วมก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร “Ethereum Foundation” ขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของเขาให้กลายเป็นความจริง โดยพันธกิจหลักขององค์กรนี้คือ การสนับสนุนการพัฒนาและส่งเสริม Ethereum ไปพร้อมๆ กับการรับรองด้านความโปร่งใสและการเติบโตที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ในการเคลื่อนไหวที่ก้าวล้ำกว่าใครครั้งนี้ Ethereum ได้แสวงหาเงินทุนผ่านการระดมทุนสาธารณะ (Public Crowdsale) ที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปี 2014 การระดมทุนนี้จะอนุญาตให้ผู้เข้าร่วมซื้อ Ether (ETH) ซึ่งเป็นคริปโทเคอร์เรนซีดั้งเดิมของ Ethereum เพื่อแลกกับ Bitcoin ผลปรากฎว่า แคมเปญระดมทุนดังกล่าวประสบความสำเร็จในระดับที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน โดยสามารถระดมทุนได้มากกว่า 30,000 Bitcoin (มูลค่าประมาณ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนั้น) พร้อมช่วยกระตุ้นการพัฒนาของ Ethereum และถือเป็นการรับประกันลักษณะการกระจายศูนย์ของ Ethereum ได้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น การเปิดตัวของ Ethereum Mainnet หลังจากการพัฒนาอย่างจริงจังและการทดสอบอย่างเข้มงวดตลอด 1 ปี ในที่สุด Mainnet ของ Ethereum ก็ได้เปิดตัวในวันที่ 30 กรกฎาคม 2015 ซึ่งนี่ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยีบล็อกเชน เนื่องจาก Ethereum ได้กลายเป็นบล็อกเชนแรกที่นำเสนอศักยภาพของ Smart Contract ในสเกลใหญ่ และวันนั้นก็ถือเป็น “วันเกิด” อย่างเป็นทางการของ Ethereum นับตั้งแต่นั้นมา อย่างไรก็ตาม การเปิดตัว Ethereum Mainnet นั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ เพราะในช่วงแรก แพลตฟอร์ม Ethereum ต้องเผชิญกับช่องโหว่ทางเทคนิคและปัญหาด้านความปลอดภัย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขหรือดำเนินการร่วมกันอย่างรวดเร็วจากชุมชนและนักพัฒนา หนึ่งในชาเลนจ์ที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2016 เมื่อโปรเจกต์ล้ำสมัยที่ชื่อว่า “The DAO” ได้ถือกำเนิดขึ้นบนบล็อกเชน Ethereum โดย DAO ตั้งเป้าที่จะเป็นกองทุนร่วมลงทุนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Venture Capital Fund) ที่อนุญาตให้นักลงทุนโหวตลงคะแนนเสียงในข้อเสนอการลงทุนผ่าน Smart Contract อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ที่สำคัญในโค้ดของ DAO กลับถูกโจมตีได้ ส่งผลให้มีการขโมย Ether ประมาณ 3.6 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนั้น การแฮ็กนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ Ethereum เพราะทำให้เกิดการตั้งคำถามด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของ Smart Contract บนเครือข่าย Ethereum นั่นเอง เพื่อตอบโต้ต่อสถานการณ์ดังกล่าว ชุมชน Ethereum และนักพัฒนาได้รวมตัวกันเพื่อตัดสินชะตากรรมของ Ether ที่ถูกขโมยไป และได้ข้อสรุปที่เป็นที่ถกเถียงกันว่าให้ทำ “Hard Fork” ซึ่งนำไปสู่การสร้าง “Ethereum Classic” บล็อกเชนแยกต่างหากที่ดำเนินการต่อกับ Ethereum ในเวอร์ชันที่ยังไม่ได้ Hard Fork นั่นเอง แม้จะมีอุปสรรคต่างๆ เช่นนี้ แต่ด้วยความทุ่มเทและความมานะพยายาม Ethereum จึงยังคงเติบโตและครองตำแหน่งในฐานะ “บล็อกเชนชั้นนำ” จวบจนทุกวันนี้ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความมุ่งมั่นในการพัฒนา ตลอดจนพลังของระบบกระจายศูนย์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนที่แข็งแกร่ง อิทธิพลของ Ethereum ต่อระบบนิเวศแบบกระจายศูนย์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลังจากการเปิดตัว อิทธิพลของ Ethereum ที่มีต่อระบบนิเวศแบบกระจายศูนย์นั้นจะเรียกว่าเป็น “การปฏิวัติวงการ” ก็ยังน้อยไป นักพัฒนาทั่วโลกต่างแห่กันไปที่แพลตฟอร์ม Ethereum เพื่อสร้าง DApp และ Smart Contract พร้อมกับวางรากฐานสำหรับขอบเขตใหม่ทางด้านการเงิน เกม ศิลปะ และการกำกับดูแล โปรเจกต์ต่างๆ เช่น Compound, Aave, Uniswap และ MakerDAO ได้กลายเป็นเสาหลักอันโดดเด่นของ DeFi คอยอำนวยความสะดวกให้การกู้ยืมสินทรัพย์, Market Making โดยอัตโนมัติ และการออก Stablecoin นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวของ DeFi โดยรวมก็มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ล็อกไว้ในโปรโตคอลต่างๆ ถือเป็นการปฏิวัติวิธีที่ผู้คนเข้าใช้งานบริการทางการเงิน และทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น บล็อกเชน Ethereum ยังกลายเป็นพื้นที่สำหรับบ่มเพาะนวัตกรรม โดยมีการโฮสต์การขายโทเค็นจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าน Initial Coin Offering (ICO) และทำให้การสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์รูปแบบต่างๆ ที่ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมสามารถเกิดขึ้นได้อีกด้วย ในขณะที่วงการ ICO ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านการกำกับดูแลและโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงในภายหลัง แต่ก็ต้องกล่าวว่าระบบดังกล่าวได้วางรากฐานสำหรับการขายโทเค็น, Security Token Offering (STO) และการระดมทุนรูปแบบอื่นๆ ผ่านกลไกที่ใช้บล็อกเชนไว้ด้วย โดยเน้นให้เป็นไปตามข้อกำหนดและการกำกับดูแลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Ethereum ยังอยู่ในแนวหน้าด้านการทดลองใช้โมเดลการกำกับดูแลแบบกระจายศูนย์และ Decentralized Autonomous Organization (DAO) อีกด้วย DAO เป็นองค์กรที่ควบคุมดูแลด้วยโค้ดและทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชน ทำให้สมาชิกสามารถตัดสินใจร่วมกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหน่วยงานกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมกันนั้น DAO ยังสามารถนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ได้ตั้งแต่การจัดการโปรโตคอลแบบกระจายศูนย์ ไปจนถึงการให้เงินทุนสนับสนุนโปรเจกต์ที่ริเริ่มจากชุมชนเลยทีเดียว สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด มาตรฐาน ERC-721 ของ Ethereum ยังได้นำเสนอแนวคิดของ Non-Fungible Token (NFT) ให้กับโลกใบนี้อีกต่างหาก ตลาด NFT ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ศิลปิน นักดนตรี เกมเมอร์ และครีเอเตอร์สามารถทำเงินจากผลงานดิจิทัลของพวกเขาได้โดยตรงบนบล็อกเชน Ethereum แพลตฟอร์ม NFT ที่มีชื่อเสียง เช่น OpenSea และ Rarible ได้อำนวยความสะดวกในการซื้อ ขาย และเทรด NFT ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับครีเอเตอร์และนักสะสมด้วยเช่นกัน Ethereum 2.0 และการเกิดใหม่ของ “ตำนาน” ความมุ่งมั่นของ Ethereum ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้นเห็นได้ชัดจากการอัปเกรดเครือข่ายเป็นประจำ การอัปเกรดเหล่านี้หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Hard Fork” เป็นขั้นตอนที่ได้รับการวางแผนและประสานงานอย่างรอบคอบ เพื่อนำไปสู่การนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ ยกระดับความปลอดภัย และจัดการกับอุปสรรคด้านความสามารถในการขยายการรองรับ (Scalability) หนึ่งในการอัปเกรดที่สำคัญที่สุดในการเดินทางของ Ethereum คือ การเปลี่ยนจากกลไกฉันทามติ Proof-of-Work (PoW) ที่ใช้พลังงานสูง ไปสู่กลไกฉันทามติ Proof-of-Stake (PoS) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าผ่าน Ethereum 2.0 โดย PoS นี้จะอาศัย “Validator” ที่ล็อก Ether จำนวนหนึ่งเป็นหลักประกัน เพื่อเสนอและตรวจสอบความถูกต้องของบล็อกใหม่ แทนที่จะใช้การขุด (Mining) ซึ่งกินพลังงานมากกว่า การเปลี่ยนไปใช้ PoS นี้เริ่มต้นจาก “The Merge” ในช่วงปลายปี 2022 ซึ่งเปลี่ยนกลไกฉันทามติจาก PoW เป็น PoS จากนั้นเหตุการณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของ The Merge ก็มาถึง นั่นก็คือ “การอัปเกรด Shanghai” ในเดือนเมษายน ปี 2023 ที่อนุญาตให้ Validator ถอน ETH ที่ Stake ไว้ออกมาได้ การอัปเกรดที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการซึ่งใครๆ ต่างรอคอยเหล่านี้เอง ที่เป็นหมุดหมายแสดงถึงยุคใหม่ของ Ethereum ทำให้สถานะของ Ethereum แข็งแกร่งขึ้นในฐานะ “ตำนาน” แห่งโลกของเทคโนโลยีบล็อกเชน อีกทั้งการเปลี่ยนจากกลไกฉันทามติ PoW ไปเป็น PoS ของ Ethereum ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสำคัญต่อบล็อกเชนในด้านของการใช้พลังงาน, ความสามารถในการขยายการรองรับ (Scalability), และเศรษฐศาสตร์ของโทเค็น (Tokenomics) อีกต่างหาก กล่าวได้ว่า ด้วยการใช้ PoS เครือข่ายบล็อกเชนจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและลดการใช้พลังงานลงถึง 99.99% ทำให้มีความยั่งยืนและเป็นไปตามกฎระเบียบมากกว่าเดิม ส่วนในแง่ของความสามารถในการขยายการรองรับนั้น ต้องกล่าวว่า กลไกแบบ PoW ของ Ethereum ยังคงมีข้อจำกัด ส่งผลให้เกิดความหนาแน่นของเครือข่ายและค่าธรรมเนียม Gas สูง ดังนั้น การเปลี่ยนไปใช้กลไกแบบ PoS จึงเป็นการวางรากฐานสำหรับการอัปเกรดต่างๆ ในอนาคต เช่น Sharding ซึ่งจะช่วยพัฒนาความเร็วของธุรกรรมและความคุ้มค่าในด้านต้นทุนได้เป็นอย่างดี สำหรับประเด็นเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของโทเค็น (Tokenomics) การผสานรวม PoS เข้ามาใช้งานจะช่วยลดการออก ETH ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลง 88.7% เมื่อเทียบกับช่วงก่อน Merge ทั้งนี้ ฟังก์ชันการ Burn ก็ยังส่งอิทธิพลต่ออุปทานของ ETH ด้วยความสามารถในการลดอัตราการออกสุทธิได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ ทำให้ผู้ถือ ETH รู้สึกตื่นเต้นกับมโนภาพของสินทรัพย์ที่มีอุปทานลดลงเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน เมื่อ The Merge กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ใครๆ ต่างให้ความสนใจ ตำนานของ Ethereum ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง โดยแพลตฟอร์ม Ethereum ได้ยืนยันจุดยืนของตนอีกครั้งในฐานะที่เป็นแรงขับเคลื่อนในการปฏิวัติแบบกระจายศูนย์ กล่าวได้ว่า การอัปเกรดนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ Ethereum ในการปรับตัวและพัฒนา ตอกย้ำถึงสถานะของการเป็นผู้บุกเบิกในโลกแห่งคริปโตไปโดยปริยาย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชุมชน Ethereum เนื่องจากนักพัฒนา, Validator และผู้ใช้ก็ต่างมารวมตัวกันเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและผลักดันแพลตฟอร์มให้พัฒนาไปสู่ระดับที่สูงกว่าเดิมขึ้นไปอีกเรื่อยๆ หลังจาก The Merge ก็ตามมาด้วย The Surge ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการอัปเกรด Cancun ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2023 ซึ่งจะเป็นการอัปเกรดที่ช่วยพัฒนาความสามารถในการขยายการรองรับของ Ethereum ได้เป็นอย่างมากอย่างแน่นอน ทั้งนี้ แผนในอนาคตสำหรับการอัปเกรดอื่นๆ ในระยะยาวก็ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านทาง Twitter ของ Vitalik เรียบร้อยแล้ว อนาคตของ Ethereum: ก้าวต่อไปของบล็อกเชนจะเป็นอย่างไร Ethereum ก้าวเข้าสู่ครบรอบปีที่ 8 ซึ่งต้องบอกว่าแพลตฟอร์มบล็อกเชนนี้กำลังยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของยุคสมัยใหม่ พร้อมเต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาและศักยภาพ 8 ปีแห่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้เน้นย้ำสถานะของ Ethereum ในฐานะตำนานในโลกของเทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์ อีกทั้งอนาคตของนวัตกรรมบล็อกเชนนี้ก็ยังเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่น่าทึ่งมากมาย การเดินทางของ Ethereum เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังของการทำงานร่วมกันทั่วโลก ทั้งนักพัฒนา, นักวิจัย, ผู้ประกอบการ และผู้ที่ชื่นชอบบล็อกเชนจากภูมิหลังที่แตกต่างกันได้มารวมตัวกันภายใต้ร่มธงของ Ethereum พร้อมมีวิสัยทัศน์ร่วมกันเกี่ยวกับอนาคตแห่งการกระจายศูนย์ จิตวิญญาณของการทำงานร่วมกันและการพัฒนาแบบโอเพนซอร์สได้เป็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของ Ethereum และจะยังคงขับเคลื่อนเส้นทางแห่งตำนานนี้ต่อไป อนาคตของ Ethereum เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ไร้ขอบเขต ซึ่งอิทธิพลของบล็อกเชนนั้นขยายไปได้ไกลกว่าแค่ในระบบดิจิทัล ถือเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยสร้างโลกที่มีความครอบคลุม โปร่งใส และกระจายศูนย์มากยิ่งขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป ที่ Bitget เราเฉลิมฉลองการเติบโตระดับตำนานตลอด 8 ปี ของ Ethereum ด้วยอีเวนต์พิเศษมากมาย โดยอีเวนต์เหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อยกย่องผู้บุกเบิก ผู้มีวิสัยทัศน์ และผู้สนับสนุนที่มีส่วนร่วมในการเดินทางแห่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ มาเข้าร่วมการเฉลิมฉลองโอกาสสำคัญนี้กับเราและเป็นส่วนหนึ่งของตำนาน Ethereum ไปด้วยกันได้เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน