ข่าวสาร CEO (CEO)

การคาดการณ์จากสถาบันและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการประเมินมูลค่า: $100K, $1M, $3M

การคาดการณ์ราคาจากสถาบันว่า Bitcoin จะข้ามระดับ $100,000 ได้นั้นมีข้อมูลสนับสนุนจากการวิเคราะห์ที่เข้มงวด ซึ่งมักจะมีที่มาจากโมเดลการประเมินมูลค่าที่กล่าวถึงในบทความนี้ การคาดการณ์เหล่านี้จัดคุณลักษณะของ Bitcoin ให้สอดคล้องกับกรอบการดำเนินงานทางการเงินที่ได้รับการยอมรับเพื่อการให้เหตุผลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในด้านการเติบโตของเหรียญ VanEck: ความขาดแคลนและพลวัตของทองคำดิจิทัล VanEck คาดการณ์ว่าราคาของ Bitcoin จะไปถึง $180,000 ภายในปี 2025 โดยมีพื้นฐานจากหลักการที่สอดคล้องกับโมเดลการประเมินมูลค่าหลักๆ เช่น Stock-to-Flow, กฎของ Metcalfe, โมเดลต้นทุนการผลิต และโมเดล Total Addressable Market (TAM) หัวใจสำคัญในการวิเคราะห์ของ VanEck คือเพดานอุปทานตายตัวของ Bitcoin ที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหลักที่สะท้อนถึงการมีอยู่อย่างจำกัดของทองคำ อย่างไรก็ตาม Bitcoin ยังก้าวไปไกลกว่านั้นด้วย Halving ตามที่ตั้งเงื่อนไขไว้ เช่น เหตุการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2024 ที่ลดรางวัลบล็อกลงเหลือ 3.125 BTC โดยที่ Halving นี้มีผลทำให้อุปทานใหม่ของ Bitcoin ลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนยิ่งขึ้นและทำให้อัตราส่วน Stock-to-Flow เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเป็นประมาณ 120 ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ตามที่เน้นชัดในโมเดล Stock-to-Flow ความขาดแคลนนี้เป็นแรงผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นโดยตรงและสนับสนุนให้ราคา Bitcoin มีวิถีพุ่งไปที่ $180,000 นอกจากนี้ VanEck ยังเน้นย้ำถึงการนำ Bitcoin ไปใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญตามกฎของ Metcalfe บริษัทนี้สังเกตเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในการมีส่วนร่วมจากทั้งรายย่อยและสถาบัน โดยปัจจุบันมี Bitcoin มูลค่า 1.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐถือกันอยู่ในทั้งกอง ETF, บริษัทมหาชนและเอกชน ไปจนถึงเป็นทุนสำรองของประเทศ กิจกรรมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นชนิดยกกำลังเช่นนี้ เมื่อประกอบกับการอนุมัติ Spot Bitcoin ETF ด้วยแล้วนั้นก็สอดคล้องกับกฎของ Metcalfe ที่เชื่อมโยงการขยายฐานผู้ใช้และอานุภาพของเครือข่ายเข้ากับการเติบโตด้านมูลค่าแบบยกกำลัง การพัฒนาโซลูชัน Layer-2 ต่างๆ เช่น Lightning Network และโปรโตคอล RGB ช่วยขยายผลเหล่านี้ให้เด่นชัดมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้มีนวัตกรรมต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenize และสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ Bitcoin เป็นเครือข่ายที่ดำเนินงานได้ดีและมีความหลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โมเดล Total Addressable Market (TAM) ยังยืนยันการคาดการณ์ของ VanEck อีกด้วยเช่นกัน โดยวางตำแหน่ง Bitcoin ไว้ในตลาดมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin ในปัจจุบันสะท้อนเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยเท่านั้นของศักยภาพส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆ อย่างทองคำ สกุลเงิน Fiat และระบบการเงินที่ผ่านการ Tokenize การทำให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุน Bitcoin ได้ผ่าน ETF ที่ได้รับการกำกับดูแลนั้นทำให้เข้าถึงผู้คนได้กว้างขวางยิ่งขึ้นและมีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อส่วนแบ่งที่ใหญ่ขึ้นในระบบนิเวศการเงินโลก สุดท้าย โมเดลต้นทุนการผลิตก็ให้มุมมองเพิ่มเติมในการทำความเข้าใจความเคลื่อนไหวด้านราคาของ Bitcoin ด้วย การเกิด Halving ในปี 2024 นั้นทำให้ต้นทุนของนักขุดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการที่จะได้รางวัลบล็อกลดลง ผลักดันให้ต้นทุนการผลิตทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ $85,000 ดังที่ VanEck ระบุไว้ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นนี้ทำให้มีพื้นฐานราคาที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยให้มูลค่าของ Bitcoin จะยังคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน แม้ว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นและอุปทานจะตึงตัวก็ตาม Bernstein Research: การใช้งานแบบยกกำลังและตัวเร่งปฏิกิริยาจากสถาบัน การคาดการณ์ของ Bernstein ที่ว่า Bitcoin จะไปถึง $200,000 ภายในสิ้นปี 2025 ในยุคใหม่ที่สถาบันครองตลาดและมีอานุภาพของเครือข่ายแบบยกกำลังนั้นมีข้อมูลสนับสนุนจากโมเดลการประเมินมูลค่าต่างๆ เช่น กฎของ Metcalfe, โมเดลต้นทุนการผลิต และโมเดล Stock-to-Flow รายงาน 160 หน้าเน้นย้ำถึงบทบาทของนักลงทุนสถาบัน โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงิน 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐไหลเข้าสู่ Bitcoin ETF ภายในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้น 3 เท่าจาก 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี 2024 ทาง Bernstein โต้แย้งว่าความต้องการเชิงโครงสร้างนี้จะช่วยยกระดับ Bitcoin จากสินทรัพย์เฉพาะกลุ่มให้กลายเป็นเสาหลักทางการเงินในกระแสหลัก ตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญ ได้แก่ การที่ Donald Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่สนับสนุนคริปโตและการปฏิรูปด้านการกำกับดูแลที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้ภายในปี 2033 นั้น ETF อาจครองส่วนแบ่งอุปทานหมุนเวียนได้สูงสุดถึง 15% สิ่งนี้สอดคล้องกับโมเดล Total Addressable Market (TAM) เนื่องจากการนำไปใช้งานโดยสถาบันนั้นทำให้ส่วนแบ่งของ Bitcoin ในสินทรัพย์ทั่วโลกขยายเพิ่มขึ้น โมเดลต้นทุนการผลิตก็สนับสนุนการคาดการณ์ของ Bernstein ด้วย Halving ในปี 2024 จะทำให้ต้นทุนการขุดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและเกิด “ภาวะช็อกจากความขาดแคลนตามธรรมชาติ” เทรนด์ในอดีตแสดงให้เห็นว่าราคา Bitcoin มักไปทำจุดสูงสุดที่ระดับหลายเท่าของต้นทุนการผลิตส่วนเพิ่มหลัง Halving ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายที่ $200,000 สุดท้าย กฎของ Metcalfe เน้นย้ำถึงการเติบโตแบบยกกำลังของ Bitcoin ขณะที่การใช้งานเครือข่ายพุ่งสูงขึ้นผ่านการมีส่วนร่วมของ ETF และความก้าวหน้าทางโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อรวมกรอบการประเมินมูลค่าเหล่านี้ Bernstein ได้เน้นย้ำถึงรากฐานที่แข็งแกร่งของ Bitcoin เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีบทบาทในระบบนิเวศทางการเงินระดับโลกที่แข็งแกร่งขึ้น Standard Chartered: ตัวเร่งปฏิกิริยาทางการเมืองและการนำสินทรัพย์ไปใช้งานในวงกว้างขึ้น Standard Chartered คาดการณ์ Bitcoin ว่าจะพุ่งไปถึง $125,000 ภายในปลายปี 2024 และมีเป้าอยู่ที่ $200,000 ภายในสิ้นปี 2025 การวิเคราะห์ใช้โมเดลต้นทุนการผลิต โดยเน้นถึงผลกระทบของ Halving ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มต้นทุนการขุดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการที่จะได้รางวัลบล็อกลดลงครึ่งหนึ่งเหลือ 3.125 BTC ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้พื้นฐานราคาสูงขึ้น ผลักดันให้ Bitcoin มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ธนาคารแห่งนี้ยังชี้ให้เห็นถึงพลวัตของความขาดแคลน (สอดคล้องกับโมเดล Stock-to-Flow) เนื่องจากอุปทานที่ลดลงหลัง Halving รวมกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจนทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น Standard Chartered ระบุว่าโมเมนตัมที่เกิดขึ้นทันทีของ Bitcoin นั้นมาจากการได้รับเลือกตั้งอีกสมัยของ Donald Trump ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นผ่านนโยบายที่สนับสนุนคริปโต ซึ่งรวมไปถึงความเป็นไปได้ในการยกเลิกกฎระเบียบที่เข้มงวด เช่น SAB 121 และกฎหมาย Stablecoin ใหม่ ซึ่งจะสร้างช่องทางสู่การใช้งานโดยสถาบันต่างๆ ในวงกว้างมากขึ้น โดยธนาคารมองว่าพัฒนาการทางการเมืองเหล่านี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการบูรณาการสินทรัพย์ดิจิทัลกระแสหลักเข้าสู่ความชัดเจนด้านการกำกับดูแลและการกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาด นอกเหนือจากความขาดแคลนแล้ว Standard Chartered ยังเน้นให้เห็นถึงอรรถประโยชน์ที่มากขึ้นของ Bitcoin ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบ Decentralized Finance (DeFi) และการ Tokenize นวัตกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับโมเดล Total Addressable Market (TAM) เนื่องจาก Bitcoin แข่งขันกับทองคำและตราสารทางการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้นเพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาดสินทรัพย์ทั่วโลก ด้วยการทำหน้าที่เป็นหลักประกันดิจิทัลและทำให้เกิดการ Tokenize สินทรัพย์นั้น จึงทำให้ Bitcoin มีฐานที่มั่นที่แข็งแกร่งขึ้นในระบบการเงินโลก Bitcoin มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ: วิสัยทัศน์ระยะยาว ผู้สนับสนุนศักยภาพในระยะยาวของ Bitcoin ซึ่งรวมไปถึง Arthur Hayes, VanEck และนักวิเคราะห์รายอื่นๆ มองว่ามูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นเป็นหมุดหมายที่สมจริงภายในทศวรรษหน้า โดยมีข้อมูลสนับสนุนจากเทรนด์เศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนแปลงไป พลวัตของความขาดแคลน และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี Arthur Hayes อดีต CEO ของ BitMEX คาดการณ์ว่า Bitcoin จะไปถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ในช่วงที่ Donald Trump ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยได้รับแรงผลักดันจากนโยบายการเงินและการคลังที่เป็นเชิงรุก Hayes โต้แย้งว่าการที่รัฐบาลสหรัฐมุ่งเน้นที่จะลดค่าเงินดอลลาร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับการอัดฉีดสินเชื่อในปริมาณมาก จะเป็นการกระตุ้นเงินเฟ้อ และส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่มีอุปทานตายตัว เช่น Bitcoin เขายังเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารและผลตอบแทนของราคา Bitcoin โดยชี้ให้เห็นว่าสินทรัพย์ดังกล่าวได้ตอบสนองต่อแรงกดดันเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของเขาที่ว่า Bitcoin จะไปถึง $250,000 ได้ภายในปี 2025 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมาย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งโมเดล Stock-to-Flow ตามที่แสดงในภาพการคาดการณ์ของ BitBo ยังระบุถึงเส้นทางสู่ระดับ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย โมเดลนี้เชื่อมโยงมูลค่าของ Bitcoin เข้ากับระดับความขาดแคลนโดยตรง และด้วยเหตุนี้จึงคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นแบบยกกำลังหลังจากรอบ Halving โดยที่ Halving รอบปี 2024 นั้นก็ได้ทำให้อัตราส่วน Stock-to-Flow ของ Bitcoin เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าไปเป็น 120 แซงหน้าระดับความขาดแคลนของทองคำ หากรูปแบบในอดีตยังคงอยู่ราคาของ Bitcoin อาจไปถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ในปี 2025 หรือ 2030 เป็นอย่างช้าที่สุด ที่มา: BitBo การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ของ VanEck วางตำแหน่งความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของ Bitcoin ในระบบการเงินระดับโลกไว้โดยคาดการณ์ว่าอาจเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นสินทรัพย์ทุนสำรองที่มีมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญได้ภายในปี 2050 เป้าหมายอันทะเยอทะยานนี้ขึ้นอยู่กับการที่ Bitcoin ต้องได้รับการจัดสรรเพียง 2% ในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก แต่ขับเคลื่อนโดยคุณลักษณะเฉพาะของเหรียญเอง ได้แก่ การไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ นโยบายการเงินที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ และสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ไม่มีใครทัดเทียม VanEck เน้นย้ำถึงศักยภาพของ Bitcoin ที่จะแซงหน้าทองคำในแง่ของมูลค่าตามราคาตลาดด้วยการประเมินมูลค่าที่ 61 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากมีการนำไปใช้ในการพาณิชย์ข้ามพรมแดนและการถือครองของธนาคารกลางอย่างแพร่หลาย ด้วยโซลูชัน Layer-2 ที่ทำให้ Bitcoin สามารถขยายการรองรับสำหรับสินทรัพย์ที่ผ่านการ Tokenize และธุรกรรมที่ซับซ้อนได้ VanEck จึงมองเห็นภูมิทัศน์ทางการเงินที่ Bitcoin รองรับทั้งเสถียรภาพของสถาบันและนวัตกรรมแบบกระจายศูนย์ ในมุมมองของพวกเขา การบรรจบกันของการเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจ ความชัดเจนด้านการกำกับดูแล และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้การพุ่งขึ้นของ Bitcoin ไปถึงหลัก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่านั้นไม่ใช่แค่เรื่องที่เป็นไปได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการบรรลุจุดแข็งที่มีอยู่ในตัวได้ในที่สุด บทสรุป การประเมินมูลค่าของ Bitcoin ที่ $99,000 นั้นไม่ได้เป็นความผิดปกติทางการคาดเดาแต่อย่างใด จากการผสมผสานความขาดแคลน การใช้งาน และปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหภาค ทั้ง VanEck, Bernstein และ Standard Chartered ต่างก็คาดการณ์ช่วงราคาร่วมกันที่ $125,000 - $200,000 ภายในสิ้นปี 2025 ในขณะเดียวกัน วิสัยทัศน์ในระยะยาว เช่น Arthur Hayes ที่คาดการณ์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไม่มีใครเทียบได้ของ Bitcoin ในการเปลี่ยนโฉมตลาดโลก ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยยืนยันตำแหน่งอันเป็นเอกลักษณ์ของ Bitcoin ในจุดตัดระหว่างนวัตกรรมและการเงิน ไม่ว่าจะดูผ่านเลนส์ของทองคำดิจิทัล ที่เก็บรักษามูลค่าแบบกระจายศูนย์ หรือการกระจายพอร์ตที่ไม่สัมพันธ์กัน การปรับตัวขึ้นของ Bitcoin แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดสินทรัพย์ทั่วโลก ในขณะที่ตัวเร่งปฏิกิริยาต่างๆ เช่น รอบ Halving, ความชัดเจนด้านการกำกับดูแล และการใช้งานโดยสถาบันต่างๆ มาบรรจบกัน เส้นทางสู่ $100,000 และมากกว่านั้นก็ดูน่าสนใจไม่น้อยและสามารถบรรลุได้ ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

Hamster Kombat (HMSTR) เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัว Airdrop ครั้งใหญ่, การอัปเดต Roadmap และเผยแพร่ Whitepaper

Hamster Kombat (HMSTR) เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัว Airdrop ครั้งใหญ่, การอัปเดต Roadmap และเผยแพร่ Whitepaper ในช่วงเริ่มแรก ช่องทางอย่างเป็นทางการของ Hamster Kombat (HMSTR) ก่อให้เกิดกระแสฮือฮาบนโซเชียลมีเดียภายในอุตสาหกรรมคริปโต กระแสความนิยมนี้ยังคงไม่ลดน้อยลงและยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่อง Hamster Kombat เพิ่งเผยแพร่ Whitepaper และอัปเดต Roadmap บนเว็บไซต์ของพวกเขา ถือเป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่กำลังติดตามการเดินทางของพวกเขาและตั้งเป้าที่จะเป็นหนึ่งใน CEO ของ Hamster ที่รวยที่สุด มาสำรวจการพัฒนาและการอัปเดตล่าสุดของการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นนี้กัน สมัครบัญชีบน Bitget เพื่อติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเหรียญยอดนิยม! Hamster Kombat (HMSTR) คือเกม Tap-to-Earn บน Telegram ที่ได้รับความนิยม โดยผู้เล่นจะรับบทเป็น CEO ของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีเสมือน ในเกมนี้ ผู้เล่นจะต้องแตะเพื่อรับสกุลเงินในเกมที่เรียกว่า Hamster Coin ซึ่งสามารถใช้อัปเกรดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเสมือนและปลดล็อกฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ ภารกิจประจำวัน โปรแกรมการแนะนำ การแข่งขัน และอีเวนต์ต่างๆ จะช่วยเสริมประสบการณ์การเล่นเกมและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน Airdrop ของเกมที่กำลังจะมีขึ้นนี้ได้รับการรอคอยอย่างมาก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบแทนผู้เล่นที่แอคทีฟด้วยโทเค็นจริงตามความสำเร็จในเกมของพวกเขา ผู้เล่นสามารถเชื่อม TON Wallet ของตนเพื่อรับรางวัลในโลกแห่งความเป็นจริงและแปลงเหรียญในเกมเป็นโทเค็น $HMSTR ที่สามารถเทรดได้ พบเคล็ดลับที่จะรับ 5 ล้านเหรียญทุกวันด้วย Hamster Kombat Daily Combo Card Solution ที่นี่! เผยแพร่ Whitepaper ของ Hamster Kombat แล้ว เมื่อเวลา 01:06 น. (GMT+8) ของวันที่ 31 กรกฎาคม 2024 Hamster Kombat Telegram ได้ประกาศเปิดตัว Whitepaper ทางการ และ Roadmap ที่อัปเดต ประกาศดังกล่าวมีผู้เข้าชมมากกว่า 6.5 ล้านครั้ง และได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีหลายแสนครั้ง Whitepaper ระบุรายละเอียดหมุดหมายสำคัญและความสำเร็จที่สำคัญที่ Hamster Kombat สามารถทำได้ในอุตสาหกรรมคริปโต พร้อมทั้งภารกิจในการเสริมสร้างตนเองให้เป็นผู้มอบ Airdrop ที่ใหญ่ที่สุดในเซกเตอร์คริปโต ด้วยการเปลี่ยนผ่านจากเกมมือถือสู่หนึ่งในเหรียญที่ได้รับการรอคอยมากที่สุด Hamster Kombat ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของตนในฐานะที่มากกว่าแค่เกมหรือคลิกเกอร์เท่านั้น ในเกมที่น่าดึงดูดใจนี้ ผู้เล่นสามารถก้าวหน้าจากระดับล่างขึ้นไปสู่ระดับบนโดยร่วมมือกับเพื่อนๆ ของพวกเขา พวกเขาสามารถสื่อสาร ได้ความสนุกสนาน ได้รับความรู้ เข้าถึง Hamster Academy และกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก Web3 ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจดูเหมือนไม่สามารถเข้าถึงได้มาก่อน สิ่งนี้คือภารกิจที่แท้จริงของพวกเขาตามที่ระบุไว้ใน Whitepaper นอกจากนี้ Hamster Whitepaper ยังมีไฮไลท์ ตัวชี้วัดสำคัญ และรายละเอียดของอรรถประโยชน์ รวมทั้งกลไกของทีมที่ใช้ดึงดูดชุมชน KOL ในการแข่งขันประเภททีมอีกด้วย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงอีเวนต์แบบจำกัดเวลาว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับให้สมาชิกชุมชนโต้ตอบกัน รวมไปถึงยังทำให้ผู้ใช้สามารถได้รับสกินและตัวเลือกส่วนบุคคลอีกด้วย นอกจากนี้ เอกสาร Whitepaper ยังได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับโทเค็น HMSTR และ Foundation ไว้เพิ่มเติม โดยเน้นย้ำถึงภารกิจของ Hamster Foundation ที่จะรับผู้คนอีกพันล้านคนเข้าสู่ Web3 และพัฒนาโทเค็น $HMSTR และระบบนิเวศของตนอย่างยั่งยืน โทเค็น $HMSTR นั้นขับเคลื่อนโดยชุมชน อีกทั้งจะเปิดตัวและดำเนินการโดย Hamster Foundation พร้อมแผนที่จะขยายอรรถประโยชน์ให้กว้างไกลออกไปนอกเหนือจาก Hamster Kombat โดยจะใช้กำไรจาก Hamster Kombat ในการสนับสนุนโปรเจกต์โดยไม่จำเป็นต้องขายโทเค็นที่จัดสรรให้กับทีม สุดท้ายนี้ ยังได้สรุปข้อเท็จจริงที่สำคัญเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของโทเค็น (Tokenomics) ไว้ รวมถึงแผนการสำหรับ Airdrop ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของคริปโต, การจัดสรรปริมาณ Airdrop, ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการพัฒนาเกม อีกทั้งลักษณะและมูลค่าที่เป็นไปได้ของโปรเจกต์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน Roadmap ของ Hamster Kombat พวกเขาเชื่อมั่นในความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้เล่นแต่ละคนที่มีต่อความสำเร็จของพวกเขา และได้อุทิศ 60% ของโทเค็นทั้งหมดเพื่อการแจกจ่ายให้กับชุมชน โดยวางแผนที่จะเปิดเผยรายละเอียดแยกส่วนของเศรษฐศาสตร์ของโทเค็น (Tokenomics) ใน Season ที่ 2 ซึ่งจะมาถึงของเกม Airdrop โทเค็น Hamster เป็นโปรเจกต์ที่มีความซับซ้อนทางเทคนิค และพวกเขาไม่ได้กำหนดวันที่ที่แน่ชัดเนื่องจากมีระยะเวลาการดำเนินการที่ไม่สามารถคาดเดาได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขากำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งกับระบบนิเวศ TON เพื่อให้แน่ใจว่า Airdrop จะเป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับผู้ใช้ทุกคน Hamster Kombat Airdrop หากต้องการเข้าร่วมในช่วง Early Bird ของ Hamster Airdrop ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้: 1. เปิดบอท Hamster Kombat ในแอป Telegram ของคุณ 2. แตะที่แท็บ Airdrop ที่มุมขวาล่างของหน้าจอเกม 3. เลือกภารกิจแรกที่จะเชื่อมต่อ TON Wallet ของคุณ 4. เลือกประเภท TON Wallet ของคุณ เช่น Bitget Wallet ในบทช่วยสอนนี้ 5. คลิกที่ “เชื่อมต่อ Wallet / Collect Wallet” และยืนยันการเชื่อมต่อ 6. รอให้ Wallet โหลดเสร็จและรับข้อความยืนยันเกี่ยวกับ Wallet ที่เชื่อมต่อ นอกจากนี้ ให้เข้าร่วมช่องทาง Telegram ของ Hamster Kombat สำหรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับภารกิจใหม่และข้อมูล Airdrop เคล็ดลับในการรับเหรียญ Hamster เพิ่มเติม หากต้องการเพิ่มเหรียญ Hamster ใน Hamster Kombat Telegram Mini App คุณมีตัวเลือกในการอัปเกรดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนของคุณด้วยการเลือก Bitget, เข้าสู่ระบบเป็นประจำเพื่อรับผลตอบแทนจากเหรียญแบบ Passive, เชิญเพื่อนเข้าร่วม, รับรางวัลรายวัน โต้ตอบกับแอปบนโซเชียลมีเดีย ดูวิดีโอแนะนำบน Hamster YouTube และแก้ปัญหา Daily Combo Card เพื่อรับ 5 ล้านเหรียญทุกวัน พร้อมกับการแก้ปริศนา Daily Cipher Morse Code เพื่อลุ้นโอกาสรับเหรียญสูงสุด 1 ล้านเหรียญต่อวัน บทสรุป ตั้งแต่เปิดตัวมา Hamster Kombat เติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้ใช้หลายล้านคนและมีผู้ติดตามที่เหนียวแน่นบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Bitget ความสำเร็จของเกมสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการเล่นที่น่าดึงดูดและฟีเจอร์ที่สร้างสรรค์ ซึ่งทำให้เกมนี้กลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญในโลกของความบันเทิงบนบล็อกเชน มาร่วมเดินทางไปกับ Bitget แ ละใช้แนวทางของเราเพื่อเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมรายแรกๆ ของ Hamster Airdrop!

เปิดตัวเลขการพุ่งทะยานของ Solana ในเดือนธันวาคม 2023 และศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามีบล็อกเชนหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม นั่นคือ Solana ทั้งความเคลื่อนไหวเชิงบวกและการเติบโตอย่างที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนทำให้ Solana กำลังสร้างกระแสในภูมิทัศน์ดิจิทัล เรามาเจาะลึกถึงปัจจัยสำคัญต่างๆ ที่ขับเคลื่อน Solana สู่ความสำเร็จล่าสุดกัน มุมมองเชิงบวกของ Cathie Wood เป็นตัวจุดประกาย เริ่มต้นด้วยการสนับสนุนเสียงดังฟังชัดจาก Cathie Wood ผู้เป็น CEO ทรงอิทธิพลของ ARK Invest ที่ได้ไปออกรายการของ CNBC ความคิดเห็นเชิงบวกของ Wood เกี่ยวกับประสิทธิภาพและการมีต้นทุนที่จับต้องได้ของ Chain นี้ส่งผลให้ราคาโทเค็นดั้งเดิมของ Solana หรือ SOL ดีดขึ้นไป 18% ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นน่าทึ่งยิ่งกว่า โดยพุ่งขึ้นถึง 52% อย่างไม่น่าเชื่อในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ผลักดันให้ SOL ไปอยู่ที่ระดับ $67.69 ได้อย่างน่าประทับใจ มุมมองเชิงบวกของ Wood ไม่ได้ทำให้ฮือฮาแค่เพียงประเดี๋ยวเดียวแล้วหายไป แต่ดูเหมือนว่าได้จุดประกายให้เกิดเหตุการณ์เชิงบวกต่อเนื่องกันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่นำไปสู่การพุ่งทะยานแบบฉุดไม่อยู่ของ Solana การเปิดตัว Inscription บนบล็อกเชน Solana เพื่อให้ก้าวล้ำนำหน้าอยู่เสมอ บล็อกเชนนี้ได้เปิดตัว Inscription ของตัวเองและมาตรฐานโทเค็น SPL-20 นวัตกรรมเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจจาก Ordinals ของ Bitcoin และมาตรฐานโทเค็น BRC-20 ที่ได้พลิกโฉมวงการ SPL-20 Inscription ทำหน้าที่เป็น Address เฉพาะทางสำหรับจัดเก็บภาพบนบล็อกเชน Solana ด้วยการมีมาตรฐานโทเค็น BRC-20 ของ Bitcoin เป็นแรงบันดาลใจ จึงทำให้ SPL-20 นำเสนอการเรนเดอร์แบบไดนามิกและรองรับสื่อแบบ On-Chain เพื่อมอบประสบการณ์ด้านศิลปะดิจิทัลในเชิงโต้ตอบมากขึ้น สิ่งที่ทำให้ SPL-20 ต่างไปจาก NFT แบบดั้งเดิมที่ต้องอาศัยบริการภายนอก เช่น Arweave เพื่อจัดเก็บข้อมูลคือการที่ SPL-20 ทำให้สามารถเก็บ NFT ที่เป็นภาพไว้บนบล็อกเชนได้โดยตรง โดยแต่ละอันจะมี Address เฉพาะเป็นของตัวเอง SPL-20 มีระบบการจัดอันดับที่คล้ายกับของ Bitcoin Ordinals โดยจะมีการใช้ความ “กลัวตกรถ” (FOMO: Fear of Missing Out) มาเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้คนเข้ามาทำ Inscription กันตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นการสร้างระบบนิเวศอันคึกคักซึ่งผู้ใช้จะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสร้างสรรค์งานศิลปะแบบ On-Chain หากต้องการทำ SPL-20 Inscription ผู้ใช้จะต้องได้สิทธิ์ในการอัปเดตก่อน เพื่อให้มั่นใจว่ามีเพียงครีเอเตอร์ NFT เท่านั้นที่สามารถควบคุมกระบวนการ Inscription ได้ สิ่งนี้จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงรูปภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตและยกระดับความปลอดภัยและความเป็นของแท้ (Authenticity) ของงานศิลปะแบบ On-Chain แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลัง SPL-20 Inscription คือความพยายามร่วมกันของ LibrePlex ซึ่งเป็นโปรโตคอลสินทรัพย์ดิจิทัลแบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบที่มีการกระจายศูนย์สำหรับ Solana ตัวเลขต่างๆ สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน โดยเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2023 มี SPL-20 Inscription อยู่มากกว่า 1.8 ล้านรายการ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงกิจกรรมที่กำลังเติบโตบนบล็อกเชน Solana จำนวนครีเอเตอร์ในระบบนิเวศก็พุ่งขึ้นเกิน 64,000 รายด้วย ซึ่งบ่งชี้ว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Inscription นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ที่มา: Nova Research บน Dune Paxos ได้ไฟเขียวออก Stablecoin บน Solana อุปสรรคด้านการกำกับดูแลมักเป็นสิ่งที่คอยกีดขวางบล็อกเชนโปรเจกต์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม Solana ได้รับคะแนนความเชื่อมั่นอย่างมีนัยสำคัญจากการที่หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของนิวยอร์กอนุมัติการขยายการดำเนินงานของ Paxos ไปยังบล็อกเชน Solana ไฟเขียวนี้ทำให้ Paxos สามารถออก Stablecoin บน Solana ได้ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำหรับอุตสาหกรรมบล็อกเชน เนื่องจากนี่คือ Chain ที่ 2 ที่ Paxos ตัดสินใจเปิดตัว Stablecoin โดย Chain แรกคือ Ethereum การเปิดตัวมีกำหนดในวันที่ 17 มกราคม 2024 ซึ่งมีผู้ตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการขยายขอบเขตการเข้าถึงและการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นของ Solana จำนวนโอเพนซอร์สพุ่งขึ้นในโปรโตคอล Solana ความโปร่งใสและการทำงานร่วมกันถือเป็นสิ่งสำคัญในโลกบล็อกเชน Solana แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านอันน่าประทับใจไปสู่การยอมรับหลักการพื้นฐานของบล็อกเชน เปลี่ยนจากการมีระบบปิดมากกว่า 70% ในช่วงกลางปี ​​2021 มาเป็นโอเพนซอร์สมากกว่า 85% ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความรู้สึกของการเป็นชุมชนเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความไว้วางใจระหว่างนักพัฒนาและผู้ใช้อีกด้วย ที่มา: DefiLlama ผลลัพธ์คือตัวเลขทำลายสถิติในเดือนธันวาคม เนื่องจากเหตุการณ์ล่าสุดบน Solana ตามที่อธิบายไว้ข้างต้น เมื่อเดือนธันวาคมดำเนินไป Solana ก็สามารถบรรลุความสำเร็จได้อย่างเหลือเชื่อ พุ่งทะยานทั้ง TVL, Address ที่แอคทีฟ และราคา SOL Solana บรรลุหลักเป้าหมายอันน่าประทับใจในด้านมูลค่าสินทรัพย์ที่ล็อกไว้กับระบบ (Total Value Locked: TVL) ได้ในช่วงเดือนธันวาคม ข้อมูลจาก DefiLlama ชี้ว่าแพลตฟอร์มมี TVL สูงถึง 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 1,114.29% จาก TVL ในเดือนมกราคมที่ 418.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่น่าสังเกตคือสิ่งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 155% จากตัวเลข 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤศจิกายน การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ TVL บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ผู้ใช้มีต่อระบบนิเวศ Solana ซึ่งทำให้มีสถานะที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในฐานะผู้เล่นที่น่าเกรงขามในพื้นที่บล็อกเชน ที่มา: DefiLlama นอกจากตัวชี้วัดที่น่าประทับใจแล้ว ตามข้อมูลจาก The Block ยังบ่งบอกว่าเครือข่าย Solana มียอดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้ง Address ที่แอคทีฟรายเดือน (17.26 ล้าน) และ Address ใหม่รายเดือน (7.67 ล้าน) ณ วันที่ 25 ธันวาคม ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมากของ Address ที่แอคทีฟรายเดือนถึง 65% จากเดือนพฤศจิกายน ซึ่งตอกย้ำความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ Solana ราคา SOL ขึ้นลงรุนแรงเหมือนรถไฟเหาะ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ $110.49 ได้อย่างน่าประทับใจ ความเชื่อมั่นของตลาดในเชิงบวกและการยอมรับ ETF คริปโตที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกล้วนมีส่วนทำให้ Solana ผงาดขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย กระแสโทเค็นและ NFT มาแรง หนึ่งในแง่มุมที่น่าสนใจที่สุดของการที่ Solana พุ่งขึ้นมาล่าสุดคือการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของโทเค็นและ NFT บนเครือข่าย มีการเปิดตัวโทเค็นใหม่รายวันเป็นหลักพัน ส่วน NFT เป็นหลักหมื่นในระบบนิเวศ Solana ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม มีการเปิดตัวต่อวันมากกว่า 7,000 รายการบน Solana ที่มา: Solscan เฉพาะในวันที่ 17 ธันวาคมเพียงวันเดียว มี NFT ใหม่ถึง 575,784 รายการที่ได้เปิดตัวบน Solana สะท้อนถึงความน่าดึงดูดใจของแพลตฟอร์มสำหรับทั้งครีเอเตอร์และนักสะสม ที่มา: Solscan ความท้าทายท่ามกลางความสำเร็จ แม้ว่า Solana กำลังชื่นชมยินดีกับความสำเร็จ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายอยู่ ความต้องการ Solana ที่พุ่งสูงขึ้นได้ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมเครือข่ายเพิ่มขึ้นด้วยอย่างมีนัยสำคัญ โดยแตะระดับ All Time High ที่ 591.3 SOL เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม เนื่องจากแพลตฟอร์มต้องรองรับกิจกรรมที่พุ่งสูงขึ้น การจัดการด้านความสามารถในการขยายการรองรับและค่าธรรมเนียมเครือข่ายจะเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการรักษาโมเมนตัมเชิงบวกนี้ไว้ ที่มา: Solscan ศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เราพิจารณาถึงชัยชนะล่าสุดของ Solana ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะตั้งคำถามว่าบล็อกเชนนี้จะสามารถรักษาโมเมนตัมที่น่าทึ่งนี้ไว้ได้หรือไม่ หรือที่เรากำลังเห็นกันนั้นเป็นเพียงการพุ่งขึ้นแค่ชั่วครู่ เมื่อดูจากตลาดแล้วก็พบว่ามีหลายปัจจัยที่ชี้ให้เห็นว่า Solana มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้มากยิ่งขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การเปิดตัว Stablecoin ของ Paxos บน Solana ที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 17 มกราคม 2024 นั้นเป็นหลักชัยสำคัญที่สามารถขยายอรรถประโยชน์ของแพลตฟอร์มต่อไปได้ การหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องของโปรเจกต์และครีเอเตอร์ต่างๆ ซึ่งเห็นได้จากจำนวน Inscription และโทเค็นใหม่ที่เพิ่มขึ้น ต่างก็บ่งบอกถึงระบบนิเวศที่เฟื่องฟูซึ่งดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะด้านค่าธรรมเนียมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น ก็ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ Solana ยังคงเข้าถึงได้อยู่ต่อไป ในขณะที่แวดวงบล็อกเชนยังคงพัฒนาขึ้นต่อไป ความสามารถของ Solana ในการปรับตัว ขยายการรองรับ และจัดการปัญหาความท้าทายเหล่านี้จะเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดวิถีในอนาคต ความเชื่อมั่นของตลาดในเชิงบวกทำให้ Solana ดูเหมือนจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปได้ แต่ความระมัดระวังและการปรับตัวจะเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงอยู่ในภูมิทัศน์ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ในการที่จะก้าวล้ำนำหน้าผู้อื่นและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในเรื่องราวการเติบโตของ Solana อย่าลืมพิจารณาสำรวจดูโทเค็นคุณภาพที่ใช้ Solana บน Bitget โทเค็นอย่าง JITO (JTO) , SOLS (SOLS) , Analysoor (ZERO) ฯลฯ ล้วนมอบโอกาสในการเกาะไปกับกระแสความสำเร็จของ Solana ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน Solana ที่เฟื่องฟูเพื่อกำหนดเส้นทางสู่อนาคตที่น่าตื่นเต้นและมีแนวโน้มสดใสได้เลย สรุปปิดท้าย แม้ว่าบล็อกเชนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่ก็หนาแน่นอยู่แล้ว แต่ Solana ก็สามารถสร้างความโดดเด่นได้ด้วยการเคลื่อนไหวต่างๆ ในเชิงกลยุทธ์และมีการพัฒนาในเชิงบวก ตั้งแต่การมีคนดังสนับสนุน ไปจนถึงมาตรฐานโทเค็นที่เป็นนวัตกรรม ไฟเขียวด้านการกำกับดูแล และจำนวนกิจกรรมในเครือข่ายที่ทำลายสถิติ เส้นทางของ Solana ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องเรียกว่าพิเศษสุดๆ ไปเลย ในขณะที่บล็อกเชนยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง สายตาของชุมชนคริปโตจะยังคงจับจ้องอยู่ที่ Solana อย่างไม่ต้องสงสัย ต้องคอยจับตาดูว่าจะสามารถรักษาวิถีขาขึ้นในโลกแห่งสินทรัพย์ดิจิทัลที่แข่งขันเข้มข้นได้หรือไม่ ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

Bitget Hot Takes (27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม)

Bitget Hot Takes คือซีรีส์จดหมายข่าวรายสัปดาห์สุดพิเศษโดย Bitget Academy เป็นคู่มือการเริ่มต้นแบบรอบด้านสำหรับผู้สนใจคริปโตทุกคน สามารถดู Bitget Hot Takes ล่าสุดได้ที่ นี่ ธีมหลัก • Bitcoin แตะ US$40,000 ส่วนดัชนีความกลัวและความโลภแตะระดับ 74 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 • ทุกข่าวใหญ่ประจำสัปดาห์มาพร้อมกับ Memecoin BGB: เหมาะสำหรับทั้งระยะสั้น กลาง และยาว! ราคา BGB ปรับตัวลง 6.1% ในสัปดาห์นี้ โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ US$0.55029 ในวันที่ 29 พฤศจิกายนและจุดต่ำสุดอยู่ที่ US$0.500707 ในวันที่ 2 ธันวาคม 2023 มีเพียง Bitcoin และ Ethereum เท่านั้นที่ปิดบวกได้ ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เฝ้ารอให้ SEC อนุมัติ ETF ส่วนที่เหลือ 5 อันดับแรกที่ใหญ่ที่สุด (BNB และ XRP) ล้วนทำผลตอบแทน 7 วันติดลบ แน่นอนว่าโทเค็นที่กล่าวถึงทั้งหมดมีความผันผวนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ระดับที่สูญเสียไปของ BGB นั้นยังค่อนข้างต่ำกว่าของ BNB และ XRP BGB มีปริมาณและสภาพคล่องเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวใน Bitcoin ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่ามากนั้นดูจะไม่สัมพันธ์กับช่วงขาขึ้นนัก อัตราส่วนปริมาณต่อมูลค่าตามราคาตลาด ของ BTC ยังคงต่ำกว่าของ BGB อยู่เล็กน้อย โดย 7DMA อยู่ในช่วง 0.22-0.23 เทียบกับ BGB ที่อยู่ในระดับ 0.30 ทั้งแท่งเทียน 4H รวมถึงอินดิเคเตอร์ต่างๆ เช่น RSI, Accum/Dist และ MACD ล้วนชี้ว่า BGB อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น โดย RSI, Bollinger Band และ Accum/Dist ในกราฟ 1D สะท้อนว่าสีแดงตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนถึง 3 ธันวาคมกำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียว ส่วนแท่งเทียน 1W ชี้ให้เห็นว่า US$0.50 เป็นระดับแนวต้านใหม่ แม้จะต้องขึ้นไปแตะทดสอบเพิ่มเติมก็ตาม อย่างไรก็ตาม BGB ก็เป็นเพียงไม่กี่โทเค็นที่ทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องได้ในปี 2023 โดยสามารถอ่านบทสรุปการเดินทางอันงดงามของ BGB ได้ในบทความ BGB ทำ ATH ใหม่ในเดือนพฤศจิกายน (มีภาษาไทย) หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่มาพร้อมกับ BGB ก็สามารถดูได้ในคู่มือนี้ นอกจากนี้เรายังมีบทวิเคราะห์ BGB รายสัปดาห์ในซีรีส์ Bitget Hot Takes และรายเดือนในซีรีส์ BGB Sail: BGB Sail: ฉบับเดือนตุลาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกันยายน BGB Sail: ฉบับเดือนสิงหาคม B GB Sail: ฉบับเดือนกรกฎาคม BGB Sail: ฉบับเดือนมิถุนายน BGB Sail: ฉบับเดือนพฤษภาคม BGB Sail: ฉบับเดือนเมษายน BGB Sail: ฉบับเดือนมีนาคม BGB Sail: ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ คริปโตเริงร่า ความหวังที่จะได้เห็นการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ในสหรัฐอเมริกาภายในอีกไม่ถึง 60 วัน ซึ่งอาจจะไวที่สุดในวันที่ 5 มกราคม 2024 นั้นหมายความว่าในไม่ช้าเม็ดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจาก TradFi จะไหลเข้าสู่คริปโต มูลค่าตามราคาตลาดของคริปโตทั้งตลาด เพิ่มขึ้น 7.4% มาอยู่ที่ US$1,569,691,992,943 ในช่วงเช้าของวันที่ 3 ธันวาคม 2023 (มูลค่าเปิด ณ วันที่ 3 ธ.ค.) สามารถอ่านบทวิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้ของเราได้ใน SEC ชะลอ BTC ETF ของ Franklin ส่วน BTC ทะลุ $40k มูลค่าสูงสุดของ Bitcoin ประจำสัปดาห์อยู่ในวันอาทิตย์ (3 ธันวาคม) ที่ US$40,136 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เราเห็น Bitcoin ในระดับนี้นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 ในขณะที่ Ethereum ทะลุ US$2,200 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2022 ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วง 7 วันที่ผ่านมา เราได้เห็น MOON ที่ก็มูนสมชื่อ ดีดขึ้นเกือบ 12% ในชั่วข้ามคืนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม หลังจากที่ Subreddit r/CryptoCurrency ทำการ Renounce สัญญาโทเค็นและ Burn ไป 98,000 โทเค็น และเมื่อมองย้อนกลับไปยังข่าวใหญ่สุดประจำสัปดาห์ ก็จะพบว่ามี Memecoin อย่างน้อย 1 เหรียญที่สร้างขึ้นหลังข่าวออกทันทีเสมอ เช่น: • เกิดเหรียญ MUNGER ขึ้นหลังจากที่ Charlie Munger รองประธาน Berkshire Hathaway ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อ Bitcoin เสียชีวิตลง ราคาพุ่ง 31,500% ใน 1 ชั่วโมงหลังเปิดตัว แต่ก็ได้ถล่มลงมาเหลือ 0 เรียบร้อยแล้ว • เกิดตระกูล Memecoin ขึ้นหลังจากที่ Henry Kissinger นักการทูตสหรัฐเสียชีวิตลง โดยตัวที่ใหญ่ที่สุดในตระกูลนี้คือ Henry Kissinger Dr. Evil (KISSI NGER) และ Kissinger69obamabideninu420 (Kissinger) • “Go F Yourself” คือข้อความจาก Elon Musk ถึง CEO ของ Disney ในการให้สัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้าง Memecoin หลายตัวในธีมลักษณะเดียวกัน ตัวที่ใหญ่ที่สุดมีมูลค่าตามราคาตลาดถึง 7.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2023 • CYBERTRUCK เป็น Memecoin ที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งชื่อตามยานพาหนะใหม่ของ Tesla มีมูลค่าตามราคาตลาดปัจจุบันถึงเกือบ US$50,000 และมีสภาพคล่อง US$38,400 บน BNB Chain แทนที่จะ Mint NFT จากเนื้อหาข่าว ก็สามารถหยิบเหตุการณ์ต่างๆ มาสร้างเป็น Memecoin ใหม่แทน แล้วลิสต์ขึ้น DEX ได้เสมอ แม้ว่าเหรียญเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไร้ค่าในท้ายที่สุด แต่สำหรับสายซิ่งที่จับจังหวะเก่ง นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดี และสำหรับพวกเราที่เหลือ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงด้านที่มีความกวนและเสรีของคริปโต ซึ่งเปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นสิ่งที่สามารถเทรดได้ ข่าวสาร Bitget ล่าสุด เรามีการลิสต์ครั้งแรกบน Bitget เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 1 รายการ (F3 ) และมี 2 อีเวนต์ที่กำลังดำเนินอยู่บน Bitget CandyBomb : El Hippo (HIPP) ซึ่งเหลือเวลาอีก 1 วันและ Caga Crypto (CAGA) ซึ่งเหลือเวลาอีก 3 วันให้เข้าร่วม! สามารถดูกฎและคู่มืออธิบายทีละขั้นตอนสำหรับ Bitget CandyBomb (CAGA) ได้ที่นี่: Caga Crypto มาอยู่ใน CandyBomb แล้ว: พร้อมที่จะรับ Airdrop แล้วหรือยัง หากกำลังมองหาตัวเลือกในการรับผลตอบแทนบน Bitget อยู่ ลองเข้ามาดูนี่เลย:• Bitget Savings : โทเค็นใหม่จะได้รับการเพิ่มเข้าไปในคลัง Savings ของเราภายในไม่กี่วันหลังจากลิสต์ โดยให้ APR สูงสุดถึง 100% ในระยะเวลาที่จำกัด! ตัวเลือกที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ได้แก่ ZKS , MYRO , D3D , PLX และ CRE ให้ APR สูงสุดถึง 30% และ SKL ให้ APR สูงสุดถึง 160%! รีบรับผลตอบแทนสูงใน Savings เลยก่อนหมดโควตา! • Bitget Launchpool : คล้ายกับ Bitget Savings แต่มีให้ผู้ที่ถือครอง BGB ได้นำยอดถือครองของตนไปใช้จริง! • Bitget Snowball และ Bitget Smart Trend : ระยะเวลา Subscription ใหม่เริ่มต้นทุกวันจันทร์! • โอกาสในการรับผลตอบแทนสุดพิเศษรายสัปดาห์: APR สูงสุดถึง 10% ใน Bitget Wealthy Tuesday • Deposit2Win: Mystery Box บรรจุ ETH, BGB, USDT, TIA, T2T2, G AS มูลค่า US$50,000 รอให้คุณมาเปิดอยู่ • พิเศษสุดสำหรับนักลงทุนสถาบัน: ฝาก EUR รับ VIP Pass 30 วัน ! • รับโทเค็นยอดนิยมฟรี: Bitget มีของขวัญวันคริสต์มาสให้ทุกคน • สำหรับช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองด้วยเช่นกัน: ฝาก $100 รับโบนัส $120 ! • ซื้อโทเค็นใหม่ไร้ค่าธรรมเนียม: เรานำเสนอโทเค็นใหม่ทุกสัปดาห์ ซึ่งคุณสามารถซื้อได้ด้วยบัตรเครดิต/เดบิตของคุณโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นเวลา 7 วัน! ที่เพิ่มเข้ามาในโปรแกรมในสัปดาห์นี้คือ LUNA อย่าปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้ผ่านไป! • ยิ่งประหยัด ก็เหมือนยิ่งได้ผลตอบแทน: ตัดต้นทุนดำเนินการออกไป 100% กับโปรแกรมไร้ค่าธรรมเนียมของ Bitget เลย: เข้าร่วมได้ทุกวันพุธ และทุกสุดสัปดาห์ สำหรับผู้ใช้ Bitget ที่มีบัตรเครดิต/เดบิต! ปริมาณการเทรด Spot บน Bitget เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เช่นเดียวกับตลาด Futures บน Bitget ทั้ง OI คริปโตเฉลี่ย (+10.3%) และ OI ของ Bitcoin เฉลี่ย (+12.6%) ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา สะท้อนถึงสัดส่วนการครองตลาดของ Bitcoin ในตลาด Futures ของเราที่ยังคงเพิ่มขึ้น ศูนย์รางวัล Bitget อัปเกรดแล้ว! ผู้ใช้ใหม่สามารถรับไปฟรีๆ ได้สูงสุดถึง 5,027 USDT พร้อมรับโบนัสเพิ่มเติมเมื่อเข้าสู่ระบบบัญชีของตนทุกวัน สมัคร เลยเพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากแคมเปญโปรโมชันของเรา ! และรับทันที 50 USDT เมื่อเข้าร่วม Bitget มีระยะเวลาจำกัด ช้าอด หมดสิทธิ์ ! อีเวนต์ใหม่ เข้าร่วมทีม Bitget Builder — รับส่วนแบ่งจากงบประมาณสำหรับอีเวนต์ออฟไลน์มูลค่า US$20,000 และชิงรางวัลผลิตภัณฑ์ “ตระกูล Apple”! Lisk (LSK) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก LSK มูลค่า $4,000 กัน! Ark (ARK) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก ARK มูลค่า $4,000 กัน! GameSwift (GSWIFT) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก 35,000 GSWIFT กัน! Carbon browser (CSIX) จะไ ด้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก 400,000 CSIX กัน! Rootstock Infrastructure Framework (RIF) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก RIF มูลค่า $6,000 กัน! Crypto Asset Governance Alliance (CAGA) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก CAGA มูลค่า $20,000 กัน! GAMEE (G MEE) จะได้รับการลิสต์บน Bitget — รับส่วนแบ่งจาก 1,562,500 GMEE จาก Launchpool! Voxies (VOXEL) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก VOXEL มูลค่า $6,000 กัน! Myria (MYRIA) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก MYRIA มูลค่า $6,000 กัน! GAMEE (GMEE) จะได้รับการลิสต์บน Bitge t มารับส่วนแบ่งจาก 840,000 GMEE กัน! Bonfida (FIDA) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก FIDA มูลค่า $6,000 กัน! El Hippo (HIPP) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก HIPP มูลค่า $12,000 กัน! Friend3 (F3) จะได้รับการลิสต์บน Bitget มารับส่วนแบ่งจาก F3 มูลค่า $4,000 กัน! เทศกาลโทเค็น Bitget: เทรดเพื่อชิง BLUR, USTC, MAGIC และ LUNC! เฉพาะผู้ใช้ใหม่เท่านั้น: เทรด มียอดฝากสุทธิ และเชิญเพื่อนใน CandyBomb เพื่อรับ HIPP! เฉพาะผู้ใช้ใหม่เท่านั้น: เทรด ฝาก และเชิญเพื่อนมาที่ CandyBomb เพื่อรับ CAGA! พิเศษสำหรับผู้ใช้ใหม่: ซื้อคริปโตแล้วรับเงินคืนได้สูงสุดถึง 50%! ชวนอ่าน SEC ชะลอ BTC ETF ของ Franklin ส่วน BTC ทะลุ $40k เริ่มต้นการลงทุน: คู่มือสำหรับมือใหม่ Carbon Browser (CSI X): เว็บเบราว์เซอร์สำหรับอินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์ Caga Crypto มาอยู่ใน CandyBomb แล้ว: พร้อมที่จะรับ Airdrop แล้วหรือยัง คู่มือสำหรับมือถือ: เชี่ยวชาญ Spot Martingale ไปกับบอท Bitget เพียงแค่สร้างบัญชี แล้วเริ่มสำรวจ Bitget-Verse ที่น่าทึ่งวันนี้เลย!

ย้อนดูการร่วงของราคา Bitcoin: เมื่อใดจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการซื้อ

สรุปใจความสำคัญ Bitcoin ซึ่งเป็นคริปโทเคอร์เรนซีชั้นนำของโลกเมื่อพิจารณาจากมูลค่าตามราคาตลาด ได้ประสบปัญหาราคาร่วงลงหลายครั้ง แต่ก็สามารถข้ามหุบเหวแห่งความตายไปได้ทุกครั้ง ในขณะที่ราคาของ Bitcoin ประสบกับความถดถอยชั่วคราวในแต่ละเหตุการณ์ ตลาดก็กลับมามีเสถียรภาพได้ในที่สุด และคริปโทเคอร์เรนซีนี้ก็มีการใช้งานและการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในช่วงชีวิตที่ค่อนข้างสั้นเพียง 14 ปี Bitcoin ได้ประสบกับความผันผวนของราคาอย่างมาก จนมีชื่อเสียงในลักษณะที่ผันผวนนี้ โดยการร่วงครั้งใหญ่มักตามมาด้วยราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ รูปแบบนี้ได้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นและการพิจารณาของทั้งนักลงทุนและผู้ที่ชมดูอยู่ด้านข้าง จนนำไปสู่คำถามสำคัญคือ เวลาใดดีที่สุดในการลงทุน Bitcoin เพื่อตอบคำถามข้อนี้ ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจการร่วงของตลาดในอดีตและสิ่งที่ทริกเกอร์ มิถุนายน 2011: การแฮ็ก Mt. Gox ในปี 2011 เพียงสองปีหลังจากที่ถือกำเนิดขึ้น Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ค่อนข้างคลุมเครือ โดยผู้ใช้ในช่วงแรกเริ่มส่วนใหญ่เป็นเนิร์ดด้านเทคโนโลยีและนักเก็งกำไร การเทรด Bitcoin จะเน้นอยู่บนแพลตฟอร์มที่เรียกว่า Mt.Gox เป็นหลัก เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2011 แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนดังกล่าวประสบกับการละเมิดด้านความปลอดภัย ส่งผลให้ราคา Bitcoin ลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงถึง 99.9% โดยดิ่งลงจาก US$17.50 เหลือเพียง US$0.01 จนแพลตฟอร์มสั่งให้ระงับการเทรด นี่เป็นการร่วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ราคาของ Bitcoin โดยสาเหตุหนึ่งของการลดลงอย่างมากคือจำนวนนักลงทุน Bitcoin ที่มีค่อนข้างน้อยในขณะนั้น ส่งผลให้มีความลึกในการเทรดไม่เพียงพอ การเทขายครั้งใหญ่นำไปสู่ความผันผวนของราคาอย่างรุนแรงได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ความตื่นตระหนกในตลาดค่อยๆ บรรเทาลงและกลับมาเริ่มเทรดอีกครั้งบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Mt. Gox ราคาของ Bitcoin ก็รีบาวด์ขึ้นสู่ระดับก่อนหน้า ธันวาคม 2013: การควบคุมด้านกฎระเบียบของจีน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2013 ธนาคารกลางจีนและหน่วยงานรัฐบาลอีก 4 แห่งได้ออกประกาศจำกัดการมีส่วนร่วมของสถาบันการเงินกับ Bitcoin โดยประกาศนี้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามไม่ให้ใช้ Bitcoin เป็นสกุลเงินในตลาดจีน และออกประกาศเพิ่มเติมให้สถาบันการชำระเงินผ่านบุคคลที่สามงดให้บริการหักบัญชีสำหรับ Bitcoin และแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ ในช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังจากการออกประกาศ ราคาของ Bitcoin ลดลงจาก US$1,152 เป็น US$519 ซึ่งลดลงมากกว่า 50% แต่หลังจากลงไปจนถึงจุดต่ำสุด (Bottom Out) แล้ว Bitcoin ก็รีบาวด์อย่างแรงในเวลาแค่ 1 เดือนหลังจากนั้น โดยพุ่งจาก US$519 เป็น US$869 ภายในสิ้นเดือนมกราคม 2014 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 67% กุมภาพันธ์ 2014: การล่มสลายของ Mt.Gox ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 แพลตฟอร์มเทรด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น Mt.Gox ตกเป็นเหยื่อของการแฮ็กที่นำไปสู่การโจรกรรม 850,000 BTC เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในการแฮ็กที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin ทริกเกอร์ทำให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างรุนแรงและเกิดเป็นวิกฤตความเชื่อมั่นในตลาด ตลาดคริปโตทั้งหมดร่วงอย่างแรงทันที และราคาของ Bitcoin ก็ลดลงอย่างรวดเร็วและอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากเหตุการณ์ Black Swan ที่ไม่คาดคิดนี้ โดยลดลงจาก US$823 เหลือ US$420 ซึ่งลดลงประมาณ 50% สุดท้าย Mt.Gox ก็ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายในโตเกียวเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2014 และต่อมาได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายภายใต้ Chapter 15 ในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ในเดือนถัดมา Bitcoin มีความผันผวนในช่วงราคาประมาณ US$420 พอเข้าเดือนพฤษภาคม 2014 Bitcoin ก็มีเทรนด์ขาขึ้นอีกครั้งโดยเปลี่ยนจากระดับต่ำสุดที่ US$420 เป็น US$659 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 57% มิถุนายน 2016: Ethereum Hard Fork เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2016 องค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ที่ชื่อว่า The DAO ตกเป็นเหยื่อของการแฮ็ก ส่งผลให้เกิดการโจรกรรม 3.6 ล้าน ETH (มูลค่าประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนั้น) เหตุการณ์นี้ทริกเกอร์ให้เกิดการเทขายจำนวนมากในตลาดคริปโต จากเหตุการณ์นี้ ราคาของ Bitcoin ลดลงจาก US$700 เป็น US$567 ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งลดลงประมาณ 20% เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้เกิดการแยกสาย (Fork) ในชุมชน Ethereum เพื่อกู้คืนความสูญเสีย ชุมชนจึงตัดสินใจทำการ Hard Fork ซึ่งทำให้ ETH ที่ถูกขโมยไปเป็นโมฆะ การตัดสินใจดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือด โดยบางคนโต้แย้งว่าการย้อนคืนธุรกรรมขัดต่อเจตนารมณ์การกระจายศูนย์และการไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ของบล็อกเชน ในที่สุด Ethereum ก็แยกออกเป็นสองบล็อกเชนที่แตกต่างกัน คือ Ethereum และ Ethereum Classic สิงหาคม 2016: การแฮ็ก Bitfinex เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2016 Bitfinex ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Bitcoin ตกเป็นเหยื่อของการแฮ็ก ส่งผลให้มีการโจรกรรมประมาณ 120,000 BTC โดยมีมูลค่าทั้งหมดประมาณ 75 ล้านเหรียญสหรัฐ เหตุการณ์นี้ถือเป็นการแฮ็กและการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีครั้งใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกและความไม่แน่นอนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ส่งผลให้ราคา Bitcoin ลดลงอย่างมากจาก US$600 เหลือประมาณ US$450 ในเวลาเพียงวันเดียว ซึ่งลดลง 25% และเป็นการลดลงในวันเดียวครั้งใหญ่ที่สุดของปีนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 2 เดือน นับตั้งแต่เหตุการณ์ Ethereum DAO ไปจนถึงการโจรกรรมบน Bitfinex ตลาด Bitcoin ได้เผชิญกับเหตุการณ์ Black Swan ติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ถึงหายนะของ Bitcoin ด้วยผลเชิงบวกของ Halving ครั้งที่ 2 ส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อลดลง Bitcoin จึงสามารถฟื้นตัวจากการมูลค่าที่เสียไปทั้งหมดได้ภายในสิ้นปี 2016 และทะลุระดับ US$1,000 ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 120% เมื่อเทียบกับระดับต่ำสุดในปี 2016 ที่ US$450 ปีต่อมา ราคาของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นฉับพลันหลายครั้งติดต่อกัน โดยทำ New High สูงสุดที่ US$19,000 ภายในสิ้นปี 2017 มีนาคม 2020: ตลาดล่มจาก COVID-19 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กระจายไปทั่วโลก เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความท้าทายในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งนำไปสู่การเทขายจำนวนมากในตลาด และเนื่องจากหุ้นสหรัฐฯ ร่วงอย่างรวดเร็วและถดถอยอย่างหนัก (Meltdown) ถึง 4 ครั้งภายในระยะเวลาเพียง 10 วัน ความตื่นตระหนกก็แพร่กระจายจากตลาดการเงินแบบดั้งเดิมไปสู่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2020 ราคาของ Bitcoin ร่วงจาก US$7,900 เป็น US$3,800 ซึ่งลดลงมากกว่า 50% ณ จุดหนึ่ง การดิ่งลงยังส่งผลให้มีการเทขายคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ ด้วย โดยตลาดคริปโตทั้งหมดร่วงลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น จากข้อมูลของ CoinMarketCap มูลค่าตามราคาตลาดทั้งหมดของตลาดคริปโตลดลงจากประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์ เหลือประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นการหดตัวเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียง 2 เดือนหลังจากนั้น Bitcoin ก็เกิด Halving เป็นครั้งที่ 3 และด้วยการเคลื่อนไหวเชิงบวกนี้ ตลาดก็รีบาวด์อย่างรวดเร็ว ภายในสิ้นปี 2020 ราคาทะลุระดับสูงสุดก่อนหน้านี้และทะลุ US$20,000 เป็นครั้งแรก พฤษภาคม 2021: การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและความเชื่อมั่นของตลาด ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2021 ตลาดคริปโตดิ่งลง Bitcoin เผชิญกับราคาที่ลดลงภายในหนึ่งวันครั้งสำคัญที่สุดคือประมาณ 34% ซึ่งลดลงต่ำกว่าระดับ US$30,000 ในขณะที่ Ethereum เองก็ประสบปัญหาราคาลดลงอย่างมากถึงเกือบ 50% สาเหตุหลักประการหนึ่งของการลดลงนี้คือรัฐบาลจีนกำหนดข้อบังคับที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ ข้อบังคับเหล่านี้รวมถึงการห้ามไม่ให้สถาบันการเงินและบริษัทรับชำระเงินให้บริการคริปโต Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของ Tesla ยังทวีตคอมเมนต์ที่บอกเป็นนัยว่า Tesla อาจขาย Bitcoin ที่ตนถืออยู่ ซึ่งส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของตลาด และความเชื่อมั่นของตลาดที่ลดลงนี้ทำให้เกิดกระแสการทุ่มตลาด (Dumping) ส่งผลให้ราคา Bitcoin ยิ่งตกต่ำลงไปอีก หลังจากตลาดได้มีเวลาประมวลข่าวเชิงลบและทิศทางการเทขาย Bitcoin ก็กลับมามีเทรนด์ขาขึ้นอีกครั้ง และเพียงหกเดือนต่อมา Bitcoin ก็ทำ All Time High ที่ US$67,500 พฤษภาคม 2022: การล่มสลายของ Terra ในเดือนพฤษภาคม 2022 มีข่าวลือแพร่สะพัดว่า UST ซึ่งเป็น Algorithmic Stablecoin ของ Terra มีความเสี่ยงที่จะหลุด Peg จากเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากราคาของ UST ลดลงอย่างต่อเนื่อง (ปัจจุบันคือ LUNC) มีราคาลดลงจาก US$119 เหลือเพียง US$0.0001972 เกือบจะเป็น 0 การล่มสลายของ Terra ซึ่งเป็นหนึ่งในบล็อกเชนสาธารณะ 10 อันดับแรกของโลก ทริกเกอร์ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ โดยราคาของ Bitcoin ลดลงมากกว่า 20% ใน 2 สัปดาห์ สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และมูลค่าตามราคาตลาดของคริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ก็ลดลงอย่างมาก เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบในวงกว้างในช่วงหลายเดือนต่อมา เป็นผลให้บริษัทคริปโตหลายแห่งต้องยื่นขอล้มละลาย ซึ่งรวมถึงบริษัทอย่าง Three Arrows Capital (3AC), Voyager, BlockFi และ Celsius ผลกระทบจากการล่มสลายของ LUNA และ UST มีความสำคัญมาก และถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหมีรอบใหม่ ในขณะที่ Altcoin ส่วนใหญ่เริ่มมีเทรนด์ลดลง มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin ก็ค่อยๆ รีบาวด์ และราคาของ Bitcoin ก็เริ่มกลับสู่ระดับก่อนหน้าที่จะร่วงอีกด้วย พฤศจิกายน 2022: วิกฤตสภาพคล่องของ FTX ในเดือนพฤศจิกายน 2022 FTX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกก็ประสบวิกฤตเช่นกัน Sam Bankman-Fried (SBF) ผู้ก่อตั้งและเจ้าของได้ยักยอกสินทรัพย์จำนวนมากจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน FTX ผ่าน Alameda ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเขาเอง โดยเขาใช้ประโยชน์จากเลเวอเรจสำหรับการเทรดในตลาดคริปโต ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การเปิดเผยการกระทำเหล่านี้ ส่งผลให้นักลงทุนรีบถอนเงิน จน FTX เผชิญกับวิกฤติสภาพคล่องและในที่สุดก็ยื่นขอล้มละลาย โดยนับตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์ไปจนถึงการประกาศล้มละลายของ FTX กินเวลาไม่ถึง 10 วัน และภายในเพียงสัปดาห์เดียว ราคาของ Bitcoin ก็ร่วงลงจาก US$21,285 เหลือ US$16,800 ซึ่งลดลงประมาณ 21% แต่ภายใน 6 เดือนจากเหตุการณ์ FTX ราคาของ Bitcoin ก็พุ่งสูงถึง US$31,000 และกำลังจะหลุดพ้นจากผลกระทบของ Black Swan ตัวนี้ สรุปปิดท้าย แม้จะเผชิญกับเหตการณ์ที่ทำให้ราคาร่วงเหล่านี้ Bitcoin ก็สามารถข้ามผ่านอุปสรรคได้สำเร็จและทำลายสถิติใหม่ด้านราคาอย่างต่อเนื่อง ดังสุภาษิตที่ว่า "สิ่งใดที่ฆ่าฉันไม่ตาย สิ่งนั้นก็ทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น" ในปัจจุบัน ราคาของ Bitcoin มีความผันผวนในระดับที่ค่อนข้างต่ำ และเมื่อถึง Halving ครั้งที่สี่ รางวัลบล็อกสำหรับ Bitcoin จะลดลงจาก 6.5 BTC เหลือ 3.25 BTC เมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาหลังจากการเกิด Halving แต่ละครั้ง มีความเป็นไปได้สูงที่ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงจะกระตุ้นให้เกิดตลาดกระทิงรอบใหม่ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงยังได้คาดการณ์อีกว่าราคาของ Bitcoin นั้นจะทะลุระดับ US$100,000 ในตลาดกระทิงรอบถัดไป แม้ว่าเราจะไม่สามารถคาดการณ์ตลาดคริปโตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ แต่ก็มีเหตุผลหนักแน่นที่เชื่อได้ว่า Bitcoin กำลังกลายเป็นทางเลือกของนักลงทุนมากขึ้น หากยังไม่ได้เป็น Bitgetter สมัครเพื่อเริ่มต้นการเดินทางของคุณสู่โลกคริปโตได้เลย! ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรดแต่อย่างใด ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนทำการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

ทั้งบวกทั้งลบครบในอาทิตย์เดียว: Cathie Wood มองคริปโต Bullish ขณะที่ Binance สะเทือนจากการกำกับดูแล

สรุปใจความสำคัญ - Cathie Wood ชม Solana และคาดการณ์ว่าราคา BTC อาจไปแตะสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - Binance ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐสั่งปรับ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ CZ ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Binance ส่วน Richard Teng ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น CEO คนใหม่ - ทั้ง 2 เหตุการณ์ล่าสุดนี้ทำให้เกิดความรู้สึกตรงกันข้ามและการเคลื่อนไหวของตลาดที่ตรงข้ามกันในตลาดคริปโต สะท้อนชัดถึงธรรมชาติที่ผันผวนของคริปโต ซึ่งทั้งนักเทรดและนักลงทุนจำเป็นต้องระมัดระวังและตื่นตัวเสมอ แม้ตลาดคริปโตจะสับสนอลหม่านอยู่แล้ว แต่ 2 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นล่าสุดก็ยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก ในด้านหนึ่ง เราได้เห็น Cathie Wood ซึ่งเป็น CEO ของ ARK Invest มองถึง Bitcoin และ Solana ในเชิงบวก ทำให้เกิดความหวังตามมาในหมู่นักลงทุน ในทางกลับกัน Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ต้องฝ่าพายุความท้าทายด้านการกำกับดูแล โดย Changpeng Zhao (CZ) ผู้เป็น CEO ได้ก้าวลงจากตำแหน่งท่ามกลางการถูกสั่งจ่ายค่าปรับอ่วม 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) บทความนี้จะพาไปสำรวจสถานการณ์ที่ปั่นป่วนเหล่านี้ โดยดูว่าเหตุการณ์ที่ดูขัดกันดังกล่าวนั้นส่งผลกระทบทั้งบวกและลบในวงกว้างอย่างไรบ้างต่ออุตสาหกรรมคริปโต คลื่น Bullish - การคาดการณ์ของ Cathie Wood เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 ทาง Cathie Wood ผู้ก่อตั้งชื่อดังของ ARK Investment Management สร้างความฮือฮาด้วยการเผยมุมมองในแง่บวกที่มีต่อตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชื่นชมเครือข่าย Solana และคาดการณ์ว่าราคาของ Bitcoin จะพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล ความคิดเห็นของ Wood ส่งผลทันทีต่อตลาด โดยทำให้ราคาของ SOL, BTC และ ETH ปรับตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด Cathie Wood ยัน Solana แข็งแกร่ง ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์กับ CNBC ทาง Cathie Wood ยกย่องเครือข่าย Solana ว่าประสิทธิภาพและคุ้มต้นทุน โดยเปรียบเทียบกับ Ethereum ซึ่ง Wood ได้เน้นย้ำถึงความเร็วและความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่ายอันน่าประทับใจของ Solana โดยมองว่าจะเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในระบบนิเวศบล็อกเชน การออกมาสนับสนุนนี้ส่งผลให้ราคาของ Solana พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่ Cathie Wood ออกมากล่าวชม ราคาของ Solana ก็ปรับตัวขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 18% ใน 24 ชั่วโมง และพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงถึง 52% ใน 1 สัปดาห์ ไปแตะระดับ $67.69 นักวิเคราะห์เชื่อว่าการพุ่งขึ้นนี้เป็นผลมาจากการปรับฐานราคาที่อาจเกิดขึ้นหลังจากมีราคาต่ำกว่ามูลค่าจริง (Undervalued) อยู่เป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลตอบแทนของ Solana นั้นแซงหน้าคริปโทเคอร์เรนซีระดับ Blue Chip อื่นๆ ทำให้ขึ้นมาเป็นตัวที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในหมวดหมู่ของตัวเอง มอง Bitcoin ระดับล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีกการให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ในช่วงไล่เลี่ยกัน Cathie Wood ย้ำถึงมุมมองระยะยาวในแง่บวกที่ตนมีต่อ Bitcoin โดยคาดการณ์ว่าราคาอาจขึ้นไปสูงถึง 1-1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญ โดยกล่าวว่าในกรณีต่างๆ เช่น การล่มสลายของ FTX และ Celsius นั้นสะท้อนชัดว่าองค์กรแบบรวมศูนย์ที่มีความโปร่งใสเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นมีแนวโน้มที่จะล้มเหลว ในขณะที่แพลตฟอร์มที่มีการกระจายศูนย์อย่างแท้จริง เช่น Bitcoin และ Ethereum ยังคงเติบโตได้ต่อไปเนื่องจากมีความโปร่งใสและลักษณะของการไม่ต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trustless) อยู่แล้วโดยธรรมชาติ จากความคิดเห็นอันมั่นใจของ Wood ราคา Bitcoin ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเพิ่มขึ้น 7.31% ไปอยู่ที่ $37,878.95 ภายในวันเดียว การที่ส่งผลต่อราคา Bitcoin ได้ในทันทีเช่นนี้ก็สะท้อนชัดถึงบทบาทของบุคคลสำคัญๆ อย่าง Cathie Wood ที่มีอิทธิพลต่อการชี้ทิศทางความเชื่อมั่นของตลาดและผลักดันการเคลื่อนไหวของราคา ความเชื่อมั่นเชิงบวกที่ Wood มียังขยายไปถึง Ethereum ด้วย แม้ว่าจะไม่เด่นชัดเท่ากับ Solana และ Bitcoin แต่ Ethereum ก็มีราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 5.34% ไปเป็น $2079.1 ในช่วงเวลาเดียวกัน การตอบสนองนี้เน้นย้ำถึงลักษณะการเชื่อมโยงถึงกันของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โดยที่การออกมาสนับสนุนและการคาดการณ์จากบุคคลชื่อดังนั้นสามารถสร้างส่งผลกระทบเป็นระลอกคลื่นต่อสินทรัพย์ต่างๆ ได้ คลื่นกระหน่ำ - Binance เผชิญปัญหาด้านการกำกับดูแล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว CEO ของ Ark Invest ได้แบ่งปันมุมมองเชิงบวกที่มีเกี่ยวกับอนาคตของคริปโทเคอร์เรนซี โดยเน้นถึงศักยภาพในการเติบโตและการนำไปใช้งานในกระแสหลัก สัปดาห์นี้ ภูมิทัศน์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากมหากาพย์ Binance ซึ่งโหมกระพือความไม่แน่นอนเข้าสู่ตลาดคริปโต CZ ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Binance ส่วน Binance ถูกปรับ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเหตุการณ์พลิกผันที่น่าตกใจ Changpeng Zhao หรือที่คนเรียกกันทั่วไปว่า CZ ได้ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Binance Holdings Ltd. ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก การตัดสินใจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยุติคดีกับรัฐบาลสหรัฐเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการต่อต้านการฟอกเงินและการละเมิดการคว่ำบาตรของสหรัฐ Binance ซึ่งยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมคริปโตถูกสั่งปรับอ่วม 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นี่เป็นหนึ่งในข้อตกลงองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ข้อตกลงดังกล่าวยุติการสอบสวนการดำเนินงานของ Binance ในสหรัฐอเมริกาที่กินเวลามานานหลายปี โดยเผยให้เห็นถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายหลายประการ ข้อกล่าวหาต่อ Binance และ CZ นั้นรวมไปถึงความล้มเหลวในการป้องกันและรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยโดยองค์กรที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย ข้อกล่าวหาของรัฐบาลสหรัฐยังครอบคลุมถึงการดำเนินธุรกิจบริการโอนเงินโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ ข้อตกลงนี้ส่งผลกระทบทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดย Binance ได้ตกลงที่จะยุติคดีครั้งใหญ่ ซึ่งรวมไปถึงการจ่ายค่าปรับทางอาญา 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและถูกริบทรัพย์เพิ่มเติมอีก 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ยอดค่าปรับรวมอยู่ที่ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงสุดในการสั่งปรับระดับองค์กรเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา โดย CZ ผู้มีบทบาทสำคัญในการนำพา Binance ผงาดขึ้นสู่ความโดดเด่น จะต้องจ่ายค่าปรับ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และแม้อาจถูกตัดสินจำคุก 10 ปี แต่ข้อตกลงก็อาจทำให้ได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 18 เดือน อย่างไรก็ตาม กระทรวงยุติธรรมสหรัฐยังไม่สรุประยะเวลาโทษจำคุกที่จะตัดสินให้กับ CZ ข้อตกลงนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้นำที่ Binance ด้วย โดย Richard Teng จะรับตำแหน่ง CEO ต่อจาก CZ ต่อไป Teng เคยเป็นข้าราชการพลเรือนมาก่อนที่จะรับตำแหน่งผู้บริหารบริษัทคริปโต ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าดูแลตลาดภูมิภาคทั้งหมดที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกาโดย CZ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ปัจจุบันรับหน้าที่รับผิดชอบในการนำทาง Binance ให้ผ่านพ้นผลพวงของข้อตกลงทางกฎหมายและฟื้นความเชื่อมั่นในหมู่ผู้ใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน 150 ล้านคนให้กลับคืนมา ตลาดคริปโตปั่นป่วนหลังข้อตกลงของ Binance ผลพวงของการตกลงยอมความกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐในข้อหาหลายข้อทำให้เกิดผลที่ตามมาเป็นทอดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อนักBTCUSDT">เทรด Futures ซึ่งเกิดการทริกเกอร์ Liquidation (การบังคับขาย) คริปโตกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ข้อมูลจาก CoinGlass เผยว่า Perpetual Futures Position ในคริปโตมูลค่า 227 ล้านดอลลาร์สหรัฐถูก Liquidate (บังคับขาย) ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดย Bullish Long คิดเป็นเกือบ 80% ของ Liquidation (การบังคับขาย) ทั้งหมด Bitcoin ซึ่งเป็นคริปโทเคอร์เรนซีหลัก เผชิญกับ Liquidation (การบังคับขาย) ในตลาด Futures เป็นมูลค่ากว่า 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ Liquidation (การบังคับขาย) ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในปี 2023 ผลกระทบไม่ได้มีกับเพียง Bitcoin เท่านั้น โดยนักเทรด ETH Futures ก็ขาดทุนไป 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนนักเทรด SOL เผชิญกับ Liquidation (การบังคับขาย) ถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ BNB ซึ่งเป็นโทเค็นที่สร้างโดย Binance นั้นพบว่าขาดทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกันแล้ว โดยขาดทุนไป 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในบรรดาแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนทั้งหมด นักเทรดที่ Binance เผชิญกับ Liquidation (การบังคับขาย) มากที่สุด มูลค่ารวมถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ OKX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตอีกแห่งเผชิญกับ Liquidation (การบังคับขาย) ไป 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขนาดและความเร็วของ Liquidation (การบังคับขาย) เหล่านี้สะท้อนถึงความผันผวนในตลาดและผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีซึ่งเหตุการณ์ใหญ่ๆ มีต่อ Position ที่ใช้เลเวอเรจ ผลสะท้อนจากปัญหาทางกฎหมายของ Binance ขยายไปไกลกว่าตลาด Futures เพราะส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ของคริปโทเคอร์เรนซีในวงกว้างด้วยเช่นกัน ข่าวการรับสารภาพของ CZ และการถูกสั่งปรับอ่วมส่งผลให้มีการปรับตัวลงทั่วทั้งตลาด โดย BNB ร่วงลงมากกว่า 9% เพิ่มความลำบากให้กับนักลงทุนที่ในตอนแรกคาดว่าจะมีข้อยุติเชิงบวกในการสอบสวนที่กินเวลาหลายปีนี้ การปรับตัวลงนี้ส่งผลกระทบเป็นระลอกคลื่นต่อคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ โดย Bitcoin ราคาลงไป 1.53% ที่ระดับ US$36,000 และมีช่วงหนึ่งลงไปถึง US$35,756.55 ขณะที่ Ether ปรับตัวลงไป 2.1% อยู่ที่ระดับประมาณ US$1,992.43 ส่วน Altcoin อื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย XRP ร่วง 3.2% ส่วน SOL ร่วงมากกว่า 4% ในขณะที่ MATIC ร่วงแรง 7.8% บทสรุป ความวุ่นวายล่าสุดในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งโหมกระพือจากความท้าทายทางกฎหมายที่ Binance ต้องเผชิญ จากการลาออกของ CZ และจากค่าปรับอ่วมที่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแห่งนี้ต้องจ่าย ตอกย้ำถึงความเปราะบางของภูมิทัศน์คริปโทเคอร์เรนซี ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของ Binance ที่ไม่มี CZ ได้เพิ่มความซับซ้อนอีกชั้นหนึ่งให้กับตลาดที่ก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาอยู่แล้ว Michael Safai ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนของ Dexterity Capital ให้ความเห็นว่า “แม้จะยากที่จะเห็น Binance สูญเสียการครองตลาด แต่เหตุการณ์นี้จะสร้างพื้นที่ให้ผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มช่องว่างได้อย่างแน่นอน” ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ตามมาอย่างติดๆ หลังจากที่ Cathie Wood เพิ่งให้สัมภาษณ์ในเชิงบวกไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งความเชื่อมั่นเชิงบวกนี้ได้ส่งผลให้ราคาคริปโตพุ่งสูงขึ้น ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างมุมมองเชิงบวกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับความท้าทายล่าสุดที่ Binance ต้องเผชิญนั้นเน้นให้เห็นถึงลักษณะที่ผันผวนของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี บทสัมภาษณ์ของ Wood ประกอบกับเหตุการณ์ที่กำลังเฉลยออกมาที่ Binance สะท้อนถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงอันซับซ้อนระหว่างบุคคลที่มีชื่อเสียง แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนใหญ่ และตลาดในวงกว้าง เหตุการณ์ล่าสุดเน้นย้ำถึงลักษณะที่เชื่อมโยงถึงกันของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีหลักๆ และความสามารถในการมีอิทธิพลต่อตลาดในวงกว้างกับความท้าทายทางกฎหมายและการกำกับดูแลที่ต้องเผชิญ ในขณะที่ชุมชนคริปโตกำลังก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายเหล่านี้ นักเทรดและนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังและตื่นตัวเสมอ ปัญหาทางกฎหมายและการกำกับดูแลที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Binance เผชิญนั้นสะท้อนชัดถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางเชิงรุกเพื่อบริหารความเสี่ยง คาดกันว่าตลาดจะยังคงประสบกับความผันผวนต่อไป ซึ่งได้รับแรงหนุนจากทั้งการเปลี่ยนแปลงภายในและปัจจัยภายนอก แม้ว่าอุตสาหกรรมคริปโตจะฟื้นตัวกลับมาได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่เหตุการณ์ต่างๆ ล่าสุดก็ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการใช้ความรอบคอบและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ที่ข่าวสารซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสามารถมีอิทธิพลต่อเทรนด์ตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

CZ ลาออกจากตำแหน่ง CEO แล้ว Binance ถูกปรับ 4.3 พันล้านดอลลาร์

ทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงด้วยโพสต์ขนาดยาวบนแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิมคือ Twitter) โดยโพสต์นั้นมีเนื้อหาว่า “Changpeng Zhao” หรือ CZ ผู้เป็นตัวแทนและหน้าตาของ Binance ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง CEO แล้ว การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นหลังจากการแถลงข่าวของ DOJ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ซึ่งชี้แจงว่า Binance และ CEO ของบริษัทรับสารภาพในข้อกล่าวหาของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยอมความคดีมูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากความขัดแย้งอันยาวนานที่เกี่ยวข้องกับ Binance, SEC และ DOJ การลาออกของ CZ ได้สร้างกระแสฮือฮาในวงการคริปโทเคอร์เรนซีและตลาดคริปโตอย่างชัดเจน ในบทความนี้เราจะพาไปดูช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ในอุบัติการณ์ครั้งนี้กัน สรุปสั้นๆ มิถุนายน 2023: SEC ฟ้อง Binance สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (Securities and Exchange Commission: SEC) ยื่นฟ้อง Binance และ CEO ของบริษัทที่ชื่อ Changpeng “CZ” Zhao ในข้อหาละเมิดกฎการเทรดหลักทรัพย์ของสหรัฐ โดยได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 13 ข้อหา ซึ่งรวมถึง: พยายามชักจูงลูกค้าจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาสู่แพลตฟอร์มการเทรดระดับโลกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ยักยอกเงินของผู้ใช้ ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือเกินจริงแก่หน่วยงานด้านการกำกับดูแลและนักลงทุน กรกฎาคม 2023: Binance เลิกจ้างพนักงาน ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการสอบสวนด้านกฎระเบียบในสหรัฐอเมริกา Binance ได้ลดขนาดทีมงานลงหลังจากประสบปัญหาการลาออกของผู้บริหารไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามีพนักงานถูกปลดออกจากบริษัทไปแล้วมากกว่า 1,000 คน กันยายน 2023: “Brian Shroder” CEO ของ Binance.US ลาออกจากตำแหน่ง ในขณะที่การต่อสู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ SEC, Binance และ CZ ได้ทวีความรุนแรงขึ้น “Brian Shroder” CEO ของ Binance.US ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหลังจากผ่านไป 2 ปี และ Binance.US ก็ได้ปลดพนักงานออกมากถึง 1 ใน 3 ของพนักงานทั้งหมดเลยทีเดียว 21 พฤศจิกายน 2023: Binance และ CZ ยอมรับความผิดต่อข้อกล่าวหาของรัฐบาลกลาง จากการแถลงข่าวของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ระบุว่า Binance ยอมรับสารภาพถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องในการละเมิดที่เกี่ยวเนื่องกับกฎต่อต้านการฟอกเงิน เช่น การรักษาโปรแกรม AML ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการส่งเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต และการคว่ำบาตร ซึ่งนี่เป็นข้อตกลงของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และแม้แต่ CZ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในบริษัทเองก็ต้องเผชิญกับการถูกตั้งข้อกล่าวหาทางอาญาดังกล่าว CZ ได้รับการพิจารณาจำคุกสูงสุด 10 ปีและปรับเงินจำนวนมหาศาลถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าบทลงโทษจริงอาจจบลงที่ความรุนแรงน้อยกว่านั้นก็ตาม 22 พฤศจิกายน 2023: CZ ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Binance ไม่นานหลังจากข่าวยอมรับผิดดังกล่าว CZ ก็ได้โพสต์ข้อความที่ยาวและจริงใจ โดยประกาศว่าเขาได้ตัดสินใจลาออกและวางมือจากการทำงาน ก่อนที่จะไปเริ่มต้นกับความสนใจในด้าน DeFi และอื่นๆ ต่อไป 22 พฤศจิกายน เวลา 04:36 น. CZ ประกาศอำลาบทบาท CEO ในขณะที่แฟนๆ ของเขากว่า 8.7 ล้านคนบน X อาจรู้สึกเสียใจและผิดหวัง CZ ได้กล่าวในโพสต์ของเขาไว้ว่า “ในฐานะผู้ถือหุ้นและอดีต CEO ที่มีความรู้เกี่ยวกับบริษัทเป็นอย่างดี ผมพร้อมจะให้คำปรึกษาแก่ทีมงานเสมอหากพวกเขาต้องการ” นอกจากนี้ CZ ยังแท็กบุคคลที่จะสานต่อภารกิจของตนลงในโพสต์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ได้แก่ Richard Teng ซึ่ง “เคยเป็น” Global Head of Regional Markets ประจำ Binance “Richard Teng” CEO คนใหม่ของ Binance คือใคร แม้ว่า Richard Teng อาจไม่เป็นที่รู้จักในโซเชียลมีเดียเท่ากับ CZ แต่ประสบการณ์อันช่ำชองของเขาบ่งบอกว่าเขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีสำหรับบทบาทดังกล่าว โดยตัวอย่างประวัติอันโดดเด่นของเขามีดังนี้ 6 ปีในตำแหน่ง CEO ของ Abu ​​Dhabi Global Market (ADGM) ตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2021 7 ปีในตำแหน่ง CRO ของ Singapore Exchange Limited (SGX) ตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2015 ประสบการณ์ของ Richard อาจนำไปสู่การดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างราบรื่นสำหรับอนาคตของบริษัทก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์และสรุปในประเด็นนี้ อีกทั้งผลกระทบที่จะตามมานั้นย่อมยิ่งใหญ่กว่าแค่การเปลี่ยนบทบาทใน Binance อย่างแน่นอน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอย่างไร ณ เวลาที่เผยแพร่บทความนี้ ราคาของ Bitcoin (BTC) ลดลง 2.3% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาของ Binance Coin (BNB) ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 8.8% เลยทีเดียว ที่มา: coingecko.com อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อมีข่าวของ Changpeng Zhao (CZ) ที่เกี่ยวข้องกับ SEC ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2023 ราคาของ Bitcoin ก็ปรับตัวลดลงอย่างมากถึง 6% โดยลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ US$26,000 ขณะนี้ ตลาดยังคงประมวลเรื่องราวทั้งผลลัพธ์จากข้อกล่าวหาของรัฐบาลกลางที่มีต่อ Binance และข่าวการลาออกของ CZ ดังนั้นจงเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความสั่นคลอนที่อาจเกิดขึ้นในหมู่ผู้เล่นรายใหญ่ประจำแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตในช่วงไม่กี่วันนี้และอีกหลายเดือนข้างหน้า บทสรุป ช่วงขาขึ้นและขาลงของผู้เล่นรายใหญ่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความโปร่งใสนั้นมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นต่อผู้ใช้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมจากรัฐบาล ทั้งนี้ การตรวจสอบ “Proof of Reserves” ว่าสามารถตรวจสอบยืนยันได้ผ่านทาง Merkle Tree ก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทำให้ทราบได้ว่าแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตมีความปลอดภัยและโปร่งใสอย่างแท้จริง โดย Merkle Tree นี้เองจะถูกนำมาใช้เพื่อพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีมีทุนสำรองตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่นั่นเอง กล่าวได้ว่า ไม่ว่าโลกคริปโตหรือตลาดจะผันผวนไปอย่างไร การตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้ฝากสินทรัพย์ไว้ในพื้นท่ีที่ปลอดภัยก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเราที่ควรตระหนักถึงอยู่เสมอ ข้อสงวนสิทธิ์: ข้อมูล มุมมอง และความคิดเห็นในรายงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลและความรู้เท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือเสนอให้ใช้เป็นคำแนะนำทางด้านกฎหมาย ภาษี การลงทุน การเงินหรืออื่นๆ ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม Bitget รวมถึงพนักงาน ตัวแทน พาร์ทเนอร์ของเรา และ/หรือการดำเนินงานร่วมกันอื่นๆ จะไม่รับผิดชอบต่อการตัดสินใจ การกระทำ หรือผลลัพธ์ที่เกิดจากหรืออ้างอิงจากการใช้ข้อมูลในที่นี้ คุณไม่ควรใช้แนวคิด กลยุทธ์ หรือการดำเนินการลงทุนหรือการเทรดใดๆ โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลและสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคล และ/หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน

ฮ่องกงพร้อมที่จะอนุมัติ BTC ETF เป็นแห่งแรกในเอเชีย

สรุปใจความสำคัญ - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง (SFC) เห็นชอบให้มี Spot ETF คริปโต - ก้าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในวงกว้างของฮ่องกงที่จะทำให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางด้านคริปโตระดับโลก - ที่น่าสังเกตคือ การอนุมัติ Spot ETF คริปโตของฮ่องกงนั้นประจวบพอดีกับความคาดหวังที่เพิ่มสูงขึ้นต่อการอนุมัติ Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางการเงินระดับโลก กำลังสร้างกระแสในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยการอนุมัติ Spot ETF คริปโตล่าสุด ทำให้เมืองนี้พร้อมที่จะกลายเป็นเมืองแรกในเอเชียที่ลิสต์และอนุมัติเครื่องมือทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่เหล่านี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งนี่เป็นก้าวสำคัญในการเดินทางของฮ่องกงเพื่อรักษาตำแหน่งผู้เล่นที่โดดเด่นในแวดวงคริปโต ผู้บุกเบิก ETF สินทรัพย์คริปโตแห่งแรกของเอเชีย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2022 ฮ่องกงได้พบกับช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติวงการด้วยการเปิดตัว ETF สินทรัพย์คริปโตแห่งแรกของเอเชีย คือ CSOP Bitcoin Futures ETF และ CSOP Ether Futures ETF โดย ETF เหล่านี้บริหารจัดการโดย CSOP Asset Management Limited ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิทัศน์ทางการเงินของฮ่องกง และเป็นผู้วางรากฐานสำหรับการเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนในสินทรัพย์คริปโตที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของฮ่องกง ETF ที่เป็นผู้บุกเบิกเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อติดตาม Bitcoin ที่มีมาตรฐานและชำระด้วยเงินสด และสัญญา Ether Futures ที่เทรดใน Chicago Mercantile Exchange (CME) แนวทางเชิงกลยุทธ์นี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่านักลงทุนในฮ่องกงจะมีสถานะการลงทุน (Exposure) ในความเคลื่อนไหวของราคาและการเปลี่ยนแปลงของคริปโทเคอร์เรนซีชั้นนำเหล่านี้ โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง หนึ่งเดือนต่อมา ในเดือนมกราคม 2023 Samsung Bitcoin Futures Active ETF ได้เปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) ซึ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล การเห็นชอบให้มี Spot ETF คริปโต สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของฮ่องกง (SFC) ได้ไฟเขียวให้ Spot ETF คริปโต ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในภูมิทัศน์การกำกับดูแลของฮ่องกง การอนุมัตินี้ตอกย้ำจุดยืนเชิงรุกของฮ่องกงในการเปิดรับนวัตกรรมเครื่องมือทางการเงิน ช่วยให้นักลงทุนมีช่องทางใหม่ในการเข้าถึงกับโลกคริปโทเคอร์เรนซีที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ Julia Leung ซึ่งเป็น CEO ของ SFC ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าถึงแนวทางการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับ Spot ETF คริปโต ในแถลงการณ์ล่าสุด เธอเน้นย้ำถึงการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนรายย่อย และ Leung ยังให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินและการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย โดยแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ด้านการกำกับดูแลที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และการคุ้มครองนักลงทุน การอนุมัติ Spot ETF คริปโต สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในตลาด และด้วยการให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าถึงได้แก่นักลงทุน SFC มีเป้าหมายที่จะสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ผู้เข้าร่วมสามารถตัดสินใจโดยมีข้อมูลครบถ้วนได้ ประสิทธิภาพซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญอีกประการหนึ่งในวิสัยทัศน์ของ Leung มีเพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้แก่กระบวนการต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดคริปโตจะดำเนินไปอย่างราบรื่นภายใต้กรอบการกำกับดูแล ด้วยเหตุนี้ ฮ่องกงจึงกลายเป็นผู้บุกเบิกในเอเชีย และเป็นภูมิภาคแรกที่เปิดไฟเขียวอย่างเป็นทางการสำหรับ Bitcoin Spot ETF เหตุการณ์สำคัญด้านการกำกับดูแลนี้เป็นก้าวสำคัญในการทำให้เมืองกลายเป็นศูนย์กลางที่เป็นมิตรกับคริปโต วิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมของฮ่องกงสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล การอนุมัติ Spot ETF คริปโตไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเดี่ยวๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่ครอบคลุมของฮ่องกงในการทำให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางด้านคริปโต โดยฮ่องกงได้ยกเครื่องกรอบการกำกับดูแลในเดือนมิถุนายน มีการเปิดตัวคู่มือสำหรับสินทรัพย์เสมือน หัวใจของการยกเครื่องการกำกับดูแลนี้คือความตั้งใจที่จะดึงดูดบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโต โดยให้เส้นทางการกำกับดูแลที่ชัดเจนซึ่งทำให้เกิดความมั่นใจในธุรกิจที่กำลังมองหาสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับคริปโต ข้อบังคับยังครอบคลุมแนวปฏิบัติ ข้อกำหนด และการป้องกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างนวัตกรรมและการลดความเสี่ยง ฮ่องกงตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความไว้วางใจในตลาดคริปโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เรื่องอื้อฉาวของ JPEX ที่แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตซึ่งไม่มีการกำกับดูแลได้ฉ้อโกงนักลงทุนรายย่อยเป็นมูลค่า 204 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้นในการยื่นขอใบอนุญาตแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์เสมือนจะสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนเชิงรุกในการปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน นอกจากนี้ ฮ่องกงกำลังสำรวจเรื่องการ Tokenize โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อให้มีตัวแทนดิจิทัลของสินทรัพย์ในโลกแห่งความเป็นจริง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ฮ่องกงได้ริเริ่มโครงการต่างๆ ด้วยการออกพันธบัตรดิจิทัลสีเขียว (Digital Green Bond) ซึ่งเป็นพันธบัตรสีเขียวในเวอร์ชันโทเค็นชุดแรกในโลกที่เปิดตัวโดยรัฐบาล ในขณะที่ยังมีการเปิดเผยถึงรายละเอียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ การตัดสินใจด้านการกำกับดูแลของฮ่องกงกำลังเป็นการเตรียมการสำหรับอนาคตที่ไม่เพียงแต่คริปโตและสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ จะได้รับการยอมรับ แต่ยังผสานรวมเข้ากับระบบนิเวศการเงินกระแสหลักด้วย การมองการณ์ไกลของฮ่องกงนี้คาดว่าจะมีส่งผลต่อภูมิภาคอื่นๆ ในเอเชีย ส่งเสริมภูมิทัศน์ที่การใช้งานคริปโตกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องพิเศษ การเพิ่มขึ้นทั่วโลกของ Spot ETF คริปโต การอนุมัติ Spot ETF คริปโตในฮ่องกงเมื่อเร็วๆ นี้สอดคล้องกับเทรนด์ในวงกว้างทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ความก้าวหน้าแบบคู่ขนานนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงระดับโลกไปสู่การยอมรับคริปโทเคอร์เรนซีในฐานะช่องทางการลงทุนที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีการกำกับดูแล นักวิเคราะห์ของ Bloomberg ช่วยเสริมการมองโลกในแง่ดีเพิ่มขึ้นไปอีก โดยระบุถึง "กรอบเวลาสั้นๆ" สำหรับการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF โดย SEC ในสหรัฐอเมริกา กรอบเวลาที่คาดการณ์ซึ่งดำเนินอย่างน้อย 8 วันนับจากวันที่ 9 พฤศจิกายน ได้กลายเป็นจุดสนใจสำหรับทั้งผู้สังเกตการณ์ตลาดและนักลงทุน ซึ่งเพิ่มความคาดหวังต่อภูมิทัศน์คริปโต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ Grayscale ตอกย้ำความรู้สึกเชิงบวกโดยระบุว่าการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF เป็น "เรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้อีกต่อไป" คำแถลงนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นภายในแวดวงสถาบัน โดยบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวิธีที่หน่วยงานด้านการเงินและรัฐบาลแบบดั้งเดิมมองและปฏิบัติต่อคริปโทเคอร์เรนซี การอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ไม่เพียงแต่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสถาบันเท่านั้น แต่ยังเป็นการปูทางให้นักลงทุนเข้าถึงได้มากขึ้นอีกด้วย ในขณะที่รัฐบาลและสถาบันต่างๆ ยอมรับเครื่องมือการลงทุนเหล่านี้ นักลงทุนแบบดั้งเดิมและนักลงทุนรายย่อยจะได้รับตัวเลือกที่มีการกำกับดูแลในการเข้าสู่ตลาดคริปโต ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ต่ำ ความคาดหวังเกี่ยวกับการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ได้ผลักดันให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ขึ้นไปอยู่เหนือจุดสำคัญ US$36,000 ซึ่งเน้นย้ำถึงการตอบสนองของตลาดต่อสัญญาณด้านการกำกับดูแลและผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจาก Bitcoin Spot ETF ในขณะที่รายละเอียดเฉพาะต่างๆ ยังคงปรากฏให้เห็นเรื่อยๆ การอนุมัติ Spot ETF คริปโตแห่งแรกในเอเชียและสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะเกิดขึ้น บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีทั่วโลก การเคลื่อนไหวครั้งนี้พร้อมที่จะปลดล็อกโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งจะปูทางให้เกิดการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างกว้างขวางในอนาคตอันใกล้นี้ ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

คำตัดสินออกมาแล้ว: คำให้การของ Sam Bankman-Fried ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายกระจ่างไม่เหลือข้อสงสัย 

สรุปใจความสำคัญ - SBF ขึ้นให้การปกป้องตนเอง แต่แผนของเขากลับเกิดผลตีกลับ - คณะลูกขุนลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าเขามีความผิดในข้อหาทั้ง 7 กระทง - SBF จะอุทธรณ์คำตัดสิน - ในเดือนมีนาคม 2024 ผู้พิพากษาจะตัดสินในรายละเอียดเฉพาะของคำพิพากษา และ SBF จะต้องเผชิญการพิจารณาคดีอีกครั้งสำหรับข้อหาอีก 5 กระทง โลกของคริปโตยังคงมีเรื่องราวดราม่าในศาลให้เห็น เมื่อ Sam Bankman-Fried (SBF) อดีตหัวหน้า FTX ที่ปัจจุบันได้ล่มสลายไปแล้ว ได้ขึ้นให้การปกป้องตนเองจากข้อกล่าวหาต่างๆ ตั้งแต่การยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองไปจนถึงการกล่าวโทษเหล่าอดีตเพื่อนฝูงที่เคยไว้ใจและการให้การขัดแย้งกับคำพูดของเขาเอง SBF ทำทุกอย่างนี้เพื่อโต้แย้งว่าการล่มสลายของ FTX เป็นผลมาจากความผิดพลาดโดยไม่เจตนา คำแก้ต่างของ SBF: หลักสูตรชั้นครูด้านวิธีการพังคดีตัวเอง ระหว่างที่ Sam SBF ขึ้นให้การ เรื่องราวดราม่าเดิมพันสูงเกี่ยวกับการพิจารณาคดีฉ้อโกงของเขาก็ได้เปิดเผยออกมา เมื่อต้องเผชิญกับโทษจำคุกตลอดชีวิตหากถูกตัดสินว่ามีความผิด ผู้ก่อตั้ง FTX ก็มีสิ่งที่จะเสียมากมาย คำให้การของเขาถือเป็นช่วงเวลาสำคัญเมื่อเขาเผชิญหน้ากับข้อหาอาญาหลายกระทง ซึ่งรวมถึงการฉ้อโกงผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ การฉ้อโกงหลักทรัพย์ และการฟอกเงิน คำให้การของ SBF เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักหลายประการ เขาเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงความรู้ที่จำกัดของตัวเขาเองในเรื่องคริปโตก่อนที่จะเปิดตัว FTX โดยเน้นว่าเขามองเห็นโอกาสในตลาดเนื่องจากช่องว่างในความรู้และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าในตอนแรกนั้น เขารู้เรื่องคริปโตน้อยมาก คำแก้ต่างมุ่งเน้นไปที่การบรรยายภาพ SBF ว่าเป็นผู้ประกอบการที่ทำอะไรไม่ถูกมากกว่าการเป็นอาชญากรที่กระทำความผิดโดยเจตนา และเน้นย้ำไปที่การยอมรับข้อผิดพลาดด้านการจัดการของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ FTX ไม่มีทีมจัดการความเสี่ยงโดยเฉพาะ นอกจากนี้ SBF ยังกล่าวถึงภาระงานที่หนักเกินไปที่เขาต้องเผชิญในฐานะ CEO ของ FTX ด้วยชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานและต้องรับอีเมลนับพันฉบับทุกวัน อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีเน้นย้ำถึงบทบาทของเขาในการใช้จ่ายเงินทุนของลูกค้า FTX จำนวนมากในด้านการตลาดและโปรโมชัน เช่น สิทธิ์ในการตั้งชื่อสนามบาสเก็ตบอลในไมอามี และอสังหาริมทรัพย์ฟุ่มเฟือยในบาฮามาส กลยุทธ์การแก้ต่างตั้งอยู่บนความคิดที่ว่า เขาเชื่อว่ารายจ่ายเหล่ามาจากผลกำไรของบริษัท ไม่ใช่จากเงินทุนของลูกค้า อีกแง่มุมหนึ่งที่สำคัญในคำให้การของ SBF คือการที่เขาได้พยายามโน้มน้าว Caroline Ellison อดีต CEO ของ Alameda Research และอดีตแฟนสาวของเขาหลายต่อหลายครั้งให้ป้องกันความเสี่ยงของ Alameda เขาเปิดเผยว่าเขาได้หารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงกับเธอเมื่อปลายปี 2021 แต่แสดงความไม่พอใจที่ไม่มีการนำคำแนะนำเหล่านี้ไปปฏิบัติตาม คำแก้ต่างนี้พยายามกล่าวโทษ Ellison ที่ไม่ได้ดำเนินการด้านการจัดการความเสี่ยง ซึ่งอาจเป็นการโยนความรับผิดชอบสำหรับปัญหาด้านการเงินให้กับเธอ ในห้องพิจารณาคดี คำแก้ต่างมุ่งเป้าไปที่การทำให้เห็นว่า SBF มีมนุษยธรรม โดยอธิบายว่าเขากลายมาเป็นหน้าตาของ FTX โดยไม่ได้ตั้งใจได้อย่างไร และกล่าวถึงการปรากฏตัวที่แหวกแนวและการมีส่วนร่วมในประเด็นทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรค COVID-19 ในทางกลับกัน ฝ่ายอัยการนำเสนอเรื่องราวของ SBF ในฐานะผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีที่จงใจปิดบังการกระทำของเขา โดยแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับการที่เขาลบข้อความและการใช้การสื่อสารแบบเข้ารหัส โดยชี้ว่าการกระทำเหล่านี้เป็นหลักฐานของการกระทำความผิด ในระหว่างการซักค้านพยาน การตัดสินใจอันกล้าหาญของ SBF ที่จะให้การแก้ต่างให้ตัวเองดูเหมือนจะส่งผลตีกลับมากยิ่งขึ้น เมื่อเขามีปัญหาในการนึกถึงรายละเอียดที่สำคัญต่างๆ ซึ่งเป็นการลดความน่าเชื่อถือของเขาในสายตาของคณะลูกขุน อัยการแย้งว่าคำให้การของเขาบรรยายภาพเขาว่าเป็นบัณฑิตจาก MIT ที่ชาญฉลาดคนหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าจะบริหารบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์และขึ้นให้การต่อหน้าสภาคองเกรส แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นว่าเขา "ไม่รู้เรื่อง" สถาวะทางการเงินของบริษัทของเขาเอง ในสัปดาห์ก่อนๆ ห้องพิจารณาคดีได้เห็นคำให้การกล่าวโทษหลายชุดจากอดีตเพื่อนร่วมงานระดับสูง ซึ่งหลายคนหันมากล่าวโทษเขา ระบุว่าเขามีส่วนร่วมในแผนที่ซับซ้อนซึ่งเขาถูกกล่าวหาว่าใช้เงินทุนของลูกค้า FTX ในการใช้จ่ายต่างๆ หลายอย่าง ตั้งแต่การร่วมทุนไปจนถึงการซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูหรา ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานที่แก้ต่างได้อย่างยากลำบาก เนื่องจากฝ่ายอัยการได้เสนอหลักฐานที่กล่าวโทษ ซึ่งประกอบด้วยข้อความบน Signal ที่เข้ารหัสไว้ และเอกสารภายในที่บ่งชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของ SBF ในการใช้เงินทุนของลูกค้า FTX การตัดสินของคณะลูกขุน: คดีที่ซับซ้อน คำตัดสินที่เรียบง่าย ความขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างความสำเร็จที่โอ้อวดไว้ก่อนหน้านี้ของ SBF กับภาวะความจำเสื่อมอย่างกะทันหันในศาลกลายเป็นประเด็นสำคัญของการพิจารณาคดี คณะลูกขุนต้องจัดการกับความขัดแย้งที่นำเสนอต่อพวกเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ประกอบการที่เก่งกาจจะไม่รู้ถึงปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นภายในอาณาจักรของเขาเองจนถึงกระทั่งช่วงเวลาสุดท้าย คำถามที่น่างุนงงนี้เป็นหัวใจสำคัญของการพิจารณาของพวกเขา ในขณะที่พวกเขาชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของคำกล่าวอ้างของเจ้าพ่อคริปโตเทียบกับหลักฐานและคำให้การที่นำเสนอในศาล คำพิพากษาดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการร่วมพิจารณาเพียง 5 ชั่วโมง โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า SBF มีความผิดในข้อหาทั้ง 7 กระทง ห้องพิจารณาคดีเงียบลงเมื่อมีการอ่านคำตัดสิน และตอนนี้ SBF เผชิญกับความเป็นไปได้ที่จะต้องรับโทษจำคุกสูงสุดมากกว่า 100 ปี ความผิด 7 กระทงที่เขาถูกตัดสินว่ามีความผิด ได้แก่ 1. การฉ้อโกงลูกค้า FTX ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ 2. การสมรู้ร่วมคิดในข้อหาฉ้อโกงลูกค้า FTX ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ 3 และ 4. การฉ้อโกงผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์และการสมรู้ร่วมคิดในข้อหาฉ้อโกงผู้ให้กู้ยืมแก่ Alameda Research ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ 5. การสมรู้ร่วมคิดในข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ต่อนักลงทุน FTX 6. การสมรู้ร่วมคิดในข้อหาฉ้อโกงสินค้าโภคภัณฑ์ต่อนักลงทุน FTX 7. การสมรู้ร่วมคิดในข้อหาฟอกเงิน ความต่อเนื่องของ SBF: มีความผิด 7 ข้อหาและอาจมีเพิ่มอีก หลังคำตัดสินของคณะลูกขุน อนาคตของเขาเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ผู้พิพากษาศาลแขวง Lewis Kaplan มีกำหนดการพิพากษาลงโทษเขาในวันที่ 28 มีนาคม 2024 จนกว่าจะถึงตอนนั้น SBF จะกลับไปอยู่ที่ MDC Brooklyn ซึ่งเป็นที่กักตัวเขาไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม แม้จะมีคำตัดสินว่ามีความผิด แต่ทีมกฎหมายของ SBF ก็ยังไม่หมดหวัง ที่ปรึกษาหลักของเขา Mark Cohen แสดงความผิดหวังกับผลลัพธ์และระบุว่าพวกเขาจะอุทธรณ์คำตัดสิน อัยการสหรัฐ Damian Williams กล่าวในงานแถลงข่าวนอกศาลแมนฮัตตัน ยกย่องการตัดสินใจของคณะลูกขุน และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการต่อสู้กับการฉ้อโกงและการทุจริต เขาส่งคำเตือนที่รุนแรงไปยังบรรดาผู้ที่คิดจะฉ้อโกง โดยระบุว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และผู้กระทำอาชญากรรมที่ซับซ้อนจะไม่ลอยนวล เมื่อมองไปยังอนาคต การต่อสู้ทางกฎหมายของ SBF ยังห่างไกลจากการสิ้นสุด ในเดือนมีนาคม 2024 ผู้พิพากษาจะตัดสินโทษของ SBF บัณฑิตจาก MIT ผู้นี้ยังต้องเผชิญกับการพิจารณาคดีครั้งที่ 2 ด้วยข้อหาเพิ่มเติมอีก 5 กระทง ซึ่งแยกจากการพิจารณาคดีครั้งล่าสุด การพิจารณาคดีนี้มีกำหนดในเดือนมีนาคมเช่นกัน แต่อัยการมีเวลาจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ในการตัดสินใจว่าจะส่งฟ้องหรือไม่ ข้อหาเพิ่มเติมได้แก่: 1. การฉ้อโกงลูกค้า FTX ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและการขายอนุพันธ์ 2. การฉ้อโกงหลักทรัพย์ของนักลงทุน FTX 3. การสมรู้ร่วมคิดในข้อหาฉ้อโกงธนาคาร 4. การสมรู้ร่วมคิดในข้อหาการดำเนินธุรกิจการโอนเงินโดยไม่มีใบอนุญาต 5. การสมรู้ร่วมคิดในข้อหาการละเมิดบทบัญญัติต่อต้านการติดสินบนของกฎหมายว่าด้วยการทุจริตข้ามชาติของสหรัฐอเมริกา ผลลัพธ์ของการดำเนินคดีทางกฎหมายเหล่านี้จะยังคงเป็นตัวกำหนดอนาคตของ Sam Bankman-Fried ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีส่วนในการขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของโลกคริปโต และตอนนี้กำลังต่อสู้กับความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตำนานของ FTX โปรดอ่านบทความเหล่านี้: การล่มสลายของ FTX การพิจารณาคดี FTX 2 สัปดาห์แรก: มิตรกลายเป็นศัตรู ความลับถูกเปิดเผย เกิดอะไรขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของการพิจารณาคดี Sam Bankman-Fried ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนทำการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

การพิจารณาคดี FTX 2 สัปดาห์แรก: มิตรกลายเป็นศัตรู ความลับถูกเปิดเผย

สรุปใจความสำคัญ - เพื่อนสนิทของ SBF 3 คนให้การปรักปรำเขาในศาล โดยชี้ว่าเขาเป็นผู้บงการเบื้องหลังการล่มสลายของ FTX และ Alameda โดยพวกเขากล่าวว่าจริงๆ แล้ว SBF ทราบถึงการที่ FTX และ Alameda มีการดำเนินการเกี่ยวพันกันและการทุจริตในบริษัทดังกล่าวอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการที่ไร้เดียงสาที่ “กระทำการโดยสุจริต” อย่างที่ทนายจำเลยของเขาอ้างแต่อย่างใด - ในช่วงเวลานี้เอง เงินจำนวน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ถูกขโมยไปเมื่อตอนที่ FTX ประกาศล้มละลายก็ได้มีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ดราม่าเดิมพันสูงในชั้นศาลเรื่องนี้ ที่มี Sam Bankman-Fried (SBF) เป็นตัวละครหลัก มีเรื่องราวการย้ายข้างความภักดีและการเปิดเผยความจริงที่น่าแปลกใจเกิดขึ้นมากมาย พันธมิตรที่ใกล้ชิดกับผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของ FTX ขึ้นให้การเป็นพยาน และได้ทำสิ่งที่หลายคนเห็นว่าน่าตกใจทีเดียว ด้วยการเปลี่ยนข้างมาโจมตีชายผู้เคยเป็นผู้นำอาณาจักรคริปโตที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งคนนี้ การพิจารณาคดีเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ทนายฝ่ายจำเลยของ SBF บรรยายว่าเขาเป็นผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ ผู้เริ่มสร้างบริษัทมูลค่าระดับพันล้านดอลลาร์จากศูนย์ โดยทนายเรียกเขาว่า “Sam” อย่างเป็นมิตร แทบจะเรียกได้ว่าเอ็นดู และเน้นย้ำความสำเร็จของเขา “Sam ไม่ได้ไปฉ้อโกงใคร” เขาอ้าง “Sam กระทำการโดยสุจริต... เขาไม่ได้ขโมยเงินใดๆ ทั้งสิ้น” แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เรื่องราวที่ต่างออกไปก็เริ่มเปิดเผยขึ้นมาแล้ว เมื่อ “พันธมิตร” ขึ้นให้การเป็นพยาน ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีบุคคลผู้เคยใกล้ชิดกับ SBF ได้รับเรียกให้ขึ้นให้การเป็นพยาน 3 คนด้วยกัน ได้แก่ Adam Yedidia เพื่อนจาก MIT ซึ่งเคยทำงานอย่างใกล้ชิดกับ SBF ที่ FTX, Gary Wang ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CTO ของ FTX และ Caroline Ellison อดีต CEO ของ Alameda Research มีความเปราะบางตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 คำให้การของ Yedidia เปิดเผยบทสนทนาที่สำคัญ ซึ่ง SBF ได้ยอมรับว่า FTX ไม่ได้ “ทนทานได้ทุกอย่าง (Bulletproof)” ซึ่งการยอมรับอย่างตรงไปตรงมานี้ชี้ว่า SBF ทราบถึงความเสี่ยงทางการเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่ FTX อยู่แล้ว ขณะที่ในช่วงเวลานั้น Alameda มีหนี้สินต่อแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนดังกล่าวถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สิ่งนี้ชี้ว่า SBF ทราบอย่างละเอียดถึงจุดอ่อนภายใน FTX ที่สามารถคุกคามเสถียรภาพทางการเงินของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนดังกล่าวได้ แม้ว่าเขาจะกล่าวอ้างต่อสาธารณะในเดือนพฤศจิกายน 2022 ว่า “FTX ยังอยู่ดี สินทรัพย์ต่างๆ ก็ยังอยู่ดี” ก็ตาม คำแถลงดังกล่าวยังชี้ด้วยว่า SBF อาจทราบถึงความเสี่ยงทางการเงินที่มาจากการดำเนินการของ Alameda ภายใน FTX อยู่แล้วก็ได้ อาณาจักรแห่งการหลอกลวง Gary Wang น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่ให้การปรักปรำหนักที่สุดคนหนึ่งทีเดียว เขาบอกว่า SBF บอกเขาให้เปลี่ยน Code สำคัญของ FTX ซึ่งทำให้ Alameda ได้วงเงินกู้ยืมจาก FTX ไปถึง 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งวงเงินกู้ยืมนี้ไม่เหมือนใครเลย เนื่องจากลูกค้าอื่นๆ ไม่มีใครมีวงเงินกู้ยืมเกิน 1 พันล้านดอลลาร์แต่อย่างใด การเปลี่ยนแปลง Code ดังกล่าวทำให้ Alameda สามารถดำเนินการด้วยยอดคงเหลือในบัญชีที่ติดลบได้ และโดยหลักแล้วก็ได้ทำการกู้ยืมเงินจากลูกค้า FTX ที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วยนั่นเอง การเปิดเผยความจริงในข้อนี้เป็นเครื่องแสดงว่าเบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวมีการวางแผนกันอย่างซับซ้อน ซึ่งผู้เกี่ยวข้องไม่ได้มีแค่ SBF เท่านั้น แต่รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของทั้ง FTX และ Alameda ด้วย Wang ยังได้เปิดเผยกลไกการทำงานภายในสิ่งที่ควรจะเป็น Safety Net ของ FTX ด้วย คือ Backstop Insurance Fund (กองทุนประกันไม่ให้เกิดการล้ม) ซึ่งกองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับการขาดทุนเมื่อ Position ของลูกค้าต้องเกิด Liquidation (การบังคับขาย) อย่างไรก็ตาม คำให้การของ Wang บรรยายภาพที่น่ากลัวทีเดียว โดยเขาเปิดเผยว่ามูลค่าของกองทุน Backstop ดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ FTX นั้นโกหกทั้งเพ เป็นการให้ความรู้สึกปลอดภัยปลอมๆ แก่ลูกค้าและนักลงทุน ซึ่งการเปิดเผยความจริงในข้อนี้ก็ได้เพิ่มความซับซ้อนเข้าไปในวังวนข้อกล่าวหาที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนต่อ FTX อีกชั้นหนึ่ง Wang ถึงกับแย้งคำแถลงอย่างมีหวังของ SBF โดยกล่าวแบบตรงไปตรงมาเลยว่า “FTX ไม่ได้ยังอยู่ดี สินทรัพย์ก็ไม่ได้ยังอยู่ดี” ความลับ ข่าวฉาว และแผนการในที่ลับ คำให้การของ Caroline Ellison เป็นการเปิดเผยความจริงที่น่าจับตามองในโลกรอบตัว SBF และอาณาจักรการเงินของเขาที่เต็มไปด้วยอุบายและการหลอกลวง การทำบัญชีอาจจะสร้างสรรค์เกินไปสักหน่อย ประเด็นที่น่าตื่นตระหนกที่สุดในคำให้การของ Ellison คือคำบอกเล่าเกี่ยวกับกลยุทธ์การทำบัญชีแบบสร้างสรรค์ที่ได้ใช้ในการหลอกทั้งนักลงทุนของ Alameda และผู้ใช้ของ FTX โดย Ellison เปิดเผยว่าเธอใช้วิธีการตกแต่งงบดุลและใช้ภาษาที่กำกวมเพื่อปกปิดสภาวะทางการเงินของ Alameda ที่มีความเสี่ยง และปกปิดจำนวนเงินมหาศาลที่ Alameda ทำการโยกย้ายออกมาจาก FTX โดยเรื่องน่าตกใจคือในเดือนพฤษภาคม 2022 Alameda ได้ถอนสินทรัพย์กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ออกไปอย่างลับๆ จากกระเป๋าของลูกค้า FTX ที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย ทั้งนี้ เมื่อถามว่าทำไมรายการถอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเหล่านี้จึงมีการเขียนกำกับไว้ว่าเป็น “เงินกู้ยืม FTX” Ellison ก็ชี้ตัว SBF อย่างไม่สะทกสะท้านว่าเป็นผู้บงการเบื้องหลังกลลวงทางการเงินนี้ เธอสารภาพว่าเธอเพียงทำตามคำสั่งจาก SBF ซึ่งสั่งเธออย่างชัดแจ้งว่าให้หลีกเลี่ยงการกำกับรายการดังกล่าวให้ชัดว่าเป็น “สินทรัพย์ของลูกค้า FTX” วิธีปฏิบัติในการทำบัญชีที่สร้างสรรค์เหล่านี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ Alameda หาบุคคลมาทำการตรวจสอบบริษัทได้ยากเหลือเกิน โดยแม้ว่าบริษัทดังกล่าวจะมีความพยายามในการจ้างนักบัญชีต่างๆ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญอุปสรรค เนื่องจากผู้สอบบัญชีต่างปฏิเสธที่จะตรวจสอบบัญชีของ Alameda อนึ่ง หากองค์กรที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นจะบันทึกรายการธุรกรรมทางการเงินที่มีความน่าสงสัยของตนทั้งหมดบน Google Spreadsheet ก็ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ไม่มีผู้สอบบัญชีคนใดจะอยากทำงานให้นั่นเอง การดำเนินการทั่วโลกที่ก้าวผิดทาง คำให้การของ Ellison ยิ่งดูเลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อเธออธิบายรายละเอียดที่น่าตกใจของ “การดำเนินการอย่างกว้างขวางทั่วโลก” ของ FTX ซึ่งดูจะทำการหลอกลวงและใช้กลเม็ดไร้ยางอายได้อย่างไม่ไร้ขีดจำกัด ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์และศีลธรรมทีเดียว Eliison เล่าว่า Alameda ภายใต้คำสั่งของ SBF นั้นได้ทำแผนการที่ดูน่าสงสัยจำนวนมาก เพื่อพยายามจะปล่อยเงินทุนที่ถูกอายัดไว้ภายใต้การสอบสวนเกี่ยวกับการฟอกเงินในประเทศจีน โดยในบรรดากลยุทธ์ที่ดำเนินการไม่สำเร็จนั้น เธอเล่ารายละเอียดแผนการแปลกๆ แผนหนึ่ง ที่จะให้โสเภณีชาวไทยเปิดบัญชีในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนจำนวนหนึ่ง ทำการเทรดระหว่างบัญชีเหล่านี้โดยมีเจตนาที่จะถ่ายสินทรัพย์ของ Alameda ในประเทศจีนให้หมดไป แล้วโอนมูลค่าไปที่บัญชีของบุคคลเหล่านี้ ซึ่ง Alameda ก็จะสามารถไปตามกู้คืนได้ในภายหลัง เมื่อแผนการทุกอย่างล้มเหลวแล้ว SBF ถึงกับพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีน “เป็นมูลค่าราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” เพื่อปล่อยเงินทุนที่ถูกอายัดไว้ นอกจากนี้ มีการเปิดเผยอีกว่า ในเดือนมิถุนายน 2022 ที่ Alameda กำลังตกที่นั่งลำบากนั้น FTX ก็มีการพิจารณาว่าจะระดมทุนจากบุคคลหนึ่งด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น คือเจ้าชายและนายกรัฐมนตรีประเทศซาอุดีอาระเบียอย่างมุฮัมมัด บิน ซัลมาน นั่นเอง ซึ่งความคิดที่จะก่อพันธมิตรทางการเงินเช่นนั้นได้ ย่อมชี้ให้เห็นขนาดการดำเนินการของ FTX และผลกระทบของบริษัทดังกล่าวในวงการการเงินโลกในขณะนั้นได้ทีเดียว วัฒนธรรมแห่งการหลอกลวงที่ผู้นำสร้างขึ้น อดีต CEO ของ Alameda ยังเล่าถึงการที่ SBF ทำให้วัฒนธรรมการหลอกลวงกลายเป็นเรื่องปกติในองค์กรอีกด้วย เนื่องจากเขาได้กล่าวอย่างชัดแจ้งว่าการโกหกและการขโมยเงิน ในโลกทัศน์ของเขานั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และเมื่อเวลาผ่านไปนั้น ทัศนคติที่อนุญาตให้ผู้คนหลอกลวงกันได้นั้นก็กลายเป็นส่วนสำคัญของสภาพแวดล้อมการทำงานของเธอจริงๆ เนื่องจากการหลอกลวงนั้นทำในที่แจ้งไม่ได้ Ellison ก็จึงได้อภิปรายถึงการที่ SBF สร้างเสริมวัฒนธรรมการเก็บงำความลับในหมู่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรด้วย เช่น การใช้งานแอปส่งข้อความเข้ารหัสอย่าง Signal ที่ระบบจะลบข้อความภายใน 1 สัปดาห์ และความชื่นชอบในการนัดประชุมแบบต่อหน้า นอกจากนี้ ผู้บริหารยังมีการใช้ภาษาเป็นรหัสลับด้วย เช่น การกล่าวถึง “มิตรชาวเกาหลีของเรา” ซึ่งอ้างว่าเป็นการกล่าวถึงกลไก Backdoor (ประตูหลัง) ที่ใช้ในการโยกย้ายสินทรัพย์จาก FTX ไปยัง Alameda ทั้งนี้ SBF ได้โต้แย้งไว้ว่าพฤติกรรมการดำเนินการอย่างลับๆ ล่อๆ นี้เป็นสิ่งที่ที่ปรึกษาซึ่ง FTX ว่าจ้างมาแนะนำให้กระทำเอง คำให้การของ Ellison ยังมีการเปิดเผยเอกสารฉาวโฉ่อย่างรายการ “เรื่องที่ Sam กำลังสติแตกอยู่” ซึ่งเป็น Google Document ที่เธออัปเดตอยู่เป็นประจำ ซึ่งเอกสารดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นความวิตกกังวลของ SBF ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับ “ภาพลักษณ์ที่ไม่ดี” ในข่าว และแผนการในการให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้าปราบปราม Binance คู่แข่งของตนด้วย แผนการดังกล่าวมีรากฐานมาจากความเชื่อที่ว่า FTX สามารถดึงลูกค้าของ Binance มาได้ ซึ่งจะเข้ามาจัดการกับสภาพของตนที่มีเงินขาดมือในจำนวนที่น่าตกใจถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ รายการนี้เป็นบันทึกอย่างเป็นรูปธรรมสำหรับแรงกดดันและกลไกที่ดำเนินไปอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว คำให้การของ Caroline Ellison นับว่าเป็นคำบอกเล่าเกี่ยวกับการบิดเบือนและการหลอกลวงที่ครอบคลุมทั้ง Alameda และ FTX ทีเดียว ซึ่งการที่เธอเปิดเผยข้อมูลออกมานั้นก็ทำให้ SBF ตกอยู่ภายใต้ข้อกล่าวหาการกระทำการทุจริตทางการเงินแบบเต็มๆ และเป็นการบรรยายภาพของโลกที่เขาสร้างขึ้นมาภายในองค์กรที่มีฐานสุดง่อนแง่นได้อย่างชัดเจน สินทรัพย์ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ถูกขโมยมีการเคลื่อนไหวระหว่างพิจารณาคดี ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการพิจารณาคดี สินทรัพย์มูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ถูกขโมยไปจาก FTX ในวันที่บริษัทล้มละลายนั้นเริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยข้อมูลจาก Elliptic ผู้ให้บริการการวิเคราะห์บล็อกเชนชี้ว่าผู้ที่ทำการฟอกเงินจำนวนดังกล่าวนั้นอาจมีความเกี่ยวโยงและประวัติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ ทั้งนี้ เช่นเดียวกับแฮ็กเกอร์คริปโตอื่นๆ จำนวนมากนั้น พวกเขาถ่ายเทเงินที่ขโมยมาผ่านบริการ “Mixing (การผสม)” สำหรับคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อขจัดร่องรอยของตน แต่ที่น่าประหลาดใจคือสินทรัพย์บางส่วนนั้นก็ถูกฟอกผ่านบริการที่ FTX เป็นเจ้าของเสียเอง ซึ่งก็เป็นการเพิ่มความซับซ้อนให้การดำเนินการดังกล่าวอีกชั้นหนึ่ง บทสรุปส่งท้าย คำให้การจากผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับ SBF ได้ทำให้เขามีความน่าสงสัยขึ้นมา โดยบรรยายภาพว่าเขาคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังการกระทำผิดที่กล่าวหากันนั่นเอง ผู้คนในสังคมให้ความสนใจกับบุคคลเหล่านี้ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ยังดูเป็นกลุ่มคนที่ฉลาด มีฐานะ และมีศักยภาพที่น่าจับตามอง แต่ตอนนี้พวกเขาดูจะพยายามสร้างภาพว่าตนเองเป็นบุคคลที่เพียงทำตามที่ SBF สั่งเท่านั้น เสมือนว่าเขาไม่ใช่คนที่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มีเจตจำนงของตนเองและความสามารถในการแยกแยะถูกผิดด้วยตนเองเลย คำให้การของพวกเขาเผยระดับการยอมทำตาม SBF อย่างน่าแปลกใจ ชี้ให้เห็นการขาดความเป็นอิสระหรือแม้แต่การตัดสินผิดชอบทางศีลธรรมในการกระทำของตนเองทีเดียว โดยเป็นการโทษว่า SBF อย่างต่อเนื่อง อย่างกับว่าอิทธิพลของเขาล้นเหลือจนพวกเขาไม่สามารถฝืนคำสั่งได้ ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ทำให้เกิดคำถามว่าในดราม่ากฎหมายที่กำลังดำเนินอยู่นี้ เราต้องคำนึงถึงประเด็นความรับผิดชอบและภาวะรับผิดส่วนบุคคลมากเท่าใดกัน ในขณะที่การพิจารณาคดีคาดการณ์กันว่าจะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนนั้น ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเรื่องราวนี้ก็ไม่จบลงง่ายๆ เช่นกัน และก็อาจจะยังมีข้อมูลที่น่าตกใจรอให้เปิดเผยอยู่อีกก็เป็นได้ อนึ่ง ผู้บริหารระดับสูงอื่นๆ อีกหลายคนภายในทั้ง FTX และ Alameda ซึ่งรวมถึง Ryan Salame และ Sam Trabucco ก็ยังอยู่ในรายการผู้ที่อาจเรียกให้มาเป็นพยานได้อีกด้วย ที่มา: Cointelegraph ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนทำการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน